Authority & Harm

ชาวนาลงเกี่ยวข้าวระวังช้างป่าหน้าแล้ง ช้างล้นป่า/ปี68ช้างทำร้ายดับ30เจ็บ29



ปราจีนบุรี31102568-ระวังภัย! ชาวนาเร่งเกี่ยวข้าวหนีช้างป่าหน้าแล้ง ขณะกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชระบุวิกฤตคน ช้างป่าล้นป่า จุดเริ่มต้น “วัคซีนคุมกำเนิด” ป่าตะวันออกสถานการณ์ที่น่ากังวลชาวบ้านต้องสูญเสียชีวิตสถิติของปี 2568 30 คนเสียชีวิต  29 คนบาดเจ็บ จากการถูกช้างป่าทำร้าย บางคนสูญเสียทรัพย์สิน บ้านเรือน ผลผลิตทางการเกษตร บางคนต้องเข้าพื้นที่ไปเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างหวาดระแวง ถ้าไม่เร่งจัดการปัญหาช้างป่าในอนาคตสถานการณ์จะทวีความรุนแรงขึ้น และชาวบ้านเดือดร้อนสาหัสกว่านี้

เมื่อเวลา 17.30 น.วันที่ 31 ต.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ปราจีนบุรีได้รับแจ้งชาวบ้านหมู่ที่ 4 ต.เขาไม้แก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ชาวบ้านพากันเร่งเกี่ยวข้าวนาปีหนีช้างป่าจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาฤาไนจังหวัดฉะเชิงเทรา (ป่าลุ่มต่ำผืนสุดท้ายของไทยในเขตป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก จ.ฉะเชิงเทรา จ.สระแก้ว จ.จันทบุรี จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี) ที่ข้ามฝั่งออกมาหากินไกลถึงในพื้นจังหวัดปราจีนบุรี โดยเฉพาะในพื้นที่ ต.วังท่าช้าง ต.เขาไม้แก้ว ต.ย่านรี อ.กบินทร์บุรี 

ล่าสุดเมื่อ 2 วันที่ผ่านมาชุดเฝ้าระวังช้างป่า ต.ย่านรี-เขาไม้แก้ว ได้พบเห็นช้างป่ารุ่นๆจำนวน 2 ตัว เข้ามาหากินที่บ้านเขาจาน หมู่ที่ 10 ต.ย่านรี ซึ่งช้างป่าได้หากินในป่าอ้อย  ซึ่งไม่มีใครกล้าเข้าไปยังเขาจาน ที่ผ่านมาช้างป่าจะมาพักอาศัยอยู่เชิงเขาจานทุกๆปี เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเจ้างาบิด ช้างหนุ่มออกมาหากินที่บ้านเขาด้วน ต.ย่านรี ซึ่งช่วงนั้นข้าวกำลังเป็นฟันน้ำนม เจ้าหน้าที่ได้ผลักดันออกจากพื้นที่ไปแล้ว

นายเอกชัย พรมมา ชาวบ้านหมู่ที่ 4 ต.เขาไม้แก้วซึ่งเป็นรอยต่อต.เขาไม้แก้ว -ย่านรี กล่าวว่ารีบเกี่ยวข้าวหนีช้างป่ากลัวช้างจะมาสร้างความเสียหายที่ผ่านมาช้างป่าเคยมากินข้าวของตนเองมาแล้ว ปีนี้รีบเกี่ยวข้าวหนีช้างก่อนเพื่อน ตนเองทำนา50ไร่ เกี่ยวแล้วต้องเอาข้าวตากไว้ข้างทุ่งนาเลย จะตากข้าวเปลือกไว้3วันไล่ความชื่นให้แห้ง แล้วจึงจะเก็บข้าวไว้กินและทำพันอีกด้วย ในพื้นที่ ต.วันท่าช้าง ต.เขาไม้แก้ว ต.ย่านรี เกษตรกรส่วนใหญ่จะทำนา ปลูกอ้อย และข้าวโพด ซึ่งล้วนแล้วเป็นอาหารของช้างจึงทำให้ช้างมาอาศัยหากินอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวทุกปี เมื่อถึงฤดูพืชผลการเกษตร

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติม  ขณะเพจกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช   ระบุว่า ...  วิกฤตคน ช้างป่าล้นป่า จุดเริ่มต้น “วัคซีนคุมกำเนิด” ป่าตะวันออก   ...  ความพยายามแก้ไขปัญหาสัตว์ป่าออกนอกพื้นที่ หากจัดลำดับวิกฤตคงหนีไม่พ้น “ช้างป่า” หนึ่งในภารกิจหลักที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มองการจัดการหลายมิติ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนปลอดภัยทั้งช้างและคน

30 คนเสียชีวิต  29 คนบาดเจ็บ เป็นสถิติของปี 2568 จากการถูกช้างป่าทำร้าย กรณีล่าสุดเป็นชายเคราะร้ายวัย 62 ปี ในพื้นที่ บ้านนาวัว ตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ใกล้เขตความรับผิดชอบของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง แต่หากรวมตัวเลขช่วงปี 2561-2568 มีชาวบ้านเสียชีวิต 209 คน และบาดเจ็บ 185 คน ซึ่งไม่เพียงแค่  “คน” แต่ “ช้างป่า” ก็ล้มตายจากการออกหากินนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จนถูกไฟฟ้าดูดหรือ ถูกยิงด้วยอาวุธ ซึ่งพบว่าในห้วงระยะเวลาเดียวกันมีตัวเลขสูงถึง 75 ตัว 

โจทย์ใหญ่คือจะหยุดวงจรความขัดแย้งคนและช้างป่า เพื่อลดความสูญเสียได้อย่างไร โดยเฉพาะป่ารอยต่อตะวันออก 5 จังหวัดที่ทวีความรุนแรงที่สุดใน 5 กลุ่มป่า ที่มีช้างอาศัยและออกนอกพื้นที่กว่า 80 จุดจนต้องมีอาสาสมัครชาวบ้าน ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติคอยทำหน้าที่ผลักดันช้างในยามค่ำคืน
ล่าสุด “ช้างป่าในพื้นที่ตะวันออกมีประชากร 799 ตัว เฉพาะเขาอ่างฤาไน มีช้างป่ามากถึง 496 ตัว ข้อมูลการติดตามการเคลื่อนที่ของช้างป่ายังพบว่าช้างป่าออกมาหากินไกลจากเขตพื้นที่อนุรักษ์กว่า 40 กิโลเมตร โดย 70-80% ของช้างที่ออกจากป่าแล้วไม่ยอมกลับเข้าป่า จะอาศัยตามหย่อมป่าเล็กๆ และออกกินพืชผลทางการเกษตรช่วงเย็นไปจนถึงรุ่งเช้าของวันถัดไป แม้เจ้าหน้าที่ชุดเฝ้าระวังและผลักดันช้างป่า และเครือข่ายอาสาสมัครภาคประชาชนจะบูรณาการสนธิกำลังร่วมกันผลักดันช้างป่าอย่างต่อเนื่อง”

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวถึงสถานการณ์ที่น่ากังวล ตอนนี้ชาวบ้านต้องสูญเสียชีวิต บางคนสูญเสียทรัพย์สิน บ้านเรือน ผลผลิตทางการเกษตร บางคนต้องเข้าพื้นที่ไปเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างหวาดระแวง ถ้าไม่เร่งจัดการปัญหาช้างป่าในอนาคตสถานการณ์จะทวีความรุนแรงขึ้น และชาวบ้านเดือดร้อนสาหัสกว่านี้

1 ใน 6 มาตรการแก้ปัญหาช้างป่าที่มองไกลกว่าการทำรั้วกั้นช้าง หรือแค่ปรับพฤติกรรมช้างป่าเกเรในคอกใหญ่ และเพิ่มพื้นที่ป่าเติมแหล่งอาหาร แหล่งน้ำเพื่อดึงให้ช้างอยู่ในป่า บูรณาการเครือข่ายชาวบ้านร่วมติดตามและผลักดันช้างให้กลับป่าโดยนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาทดสอบเพื่อสนับสนุนการผลักดันช้างป่าโดยการใช้เสียง เช่น เสียงเสือ เสียงผึ้งบิน และเสียงที่ใช้ควบคุมฝูงชน (Warning Sound) ยังรวมถึงมิติของการบรรเทาความเดือดจากช้างป่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากช้างป่าจากงบกลาง พ.ศ. 2568 กรณีเสียชีวิตจะได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยา รายละ 500,000 บาท  และกรณีทุพพลภาพ 250,000 บาท ทั้งนี้ ยังรวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินจากช้างป่า ด้วย 

แต่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ยังเริ่มมองทางออกในอนาคต โดยการใช้วัคซีนคุมกำเนิดช้างป่า  SpayVac® ซึ่งมีการใช้งานจริงในช้างแอฟริกาแล้วได้ผล เป้าหมายของกรมอุทยานแห่งชาติฯ คือการนำวัคซีนคุมกำเนิดช้างป่า  นำร่องเฉพาะกลุ่มป่าตะวันออก จากเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องควบคุมประชากรช้างป่าที่มีมากเกินศักยภาพของพื้นที่ในการรองรับแล้วในปัจจุบัน โครงการนี้จับมือทำงานร่วมกับศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 

“อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันว่าเป็นการคุมกำเนิดช้างเพื่อให้อัตราการเพิ่มประชากรลดลง ซึ่งจำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรม และติดตามช้างตัวเมียที่ได้รับวัคซีน ซึ่งกระบวนการควบคุมประชากรช้างป่าเป็นหนึ่งในทางการจัดการสัตว์ป่าในระดับสากล เพราะถ้าไม่เริ่มต้น อนาคตจะแก้ไขไม่ทัน”
ความท้าทายในภารกิจอนุรักษ์สัตว์ป่า ทางเลือก “วัคซีนคุมช้างล้นป่า” จึงเป็นจุดเริ่มต้นงานอนุรักษ์สัตว์ป่าของกรมอุทยานให้ความสมดุลร่วมระหว่างคนและช้าง

มานิตย์ สนับบุญ-ข่าว/ทองสุข สิงห์พิมพ์-ภาพ/ปราจีนบุรี