In News

ภารกิจนายกฯประชุมเอเปครอบที่2ในวันนี้ ไทยชู3แนวทาง-พัฒนาAI/จีบขายข้าวจีน



กรุงเทพฯ-นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค รอบที่ 2 (Session II) ชู 3 แนวทางเสริมศักยภาพเอเปค ผ่านการเติบโตอย่างทั่วถึง พัฒนา AI อย่างรับผิดชอบ และสร้างสังคมทุกกลุ่มให้พร้อมรับอนาคต เพื่อมุ่งสู่ภูมิภาคที่ยั่งยืนและพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง เมื่อบ่ายวานนี้ นายกฯได้หารือกับปธน. จีน และจีนปลื้ม นโยบาย “นายกฯ อนุทิน ไม่เอาคาสิโน” ย้ำไม่คิดแทรกแซงนโยบายประเทศใด แต่จีนจะใช้มาตรการภายในไม่สนับสนุนให้นักท่องเที่ยวจีน เดินทางมาเที่ยวเพราะคาสิโนขณะเดียวกันพร้อมร่วมมือกับไทยปราบทุกภัยไซเบอร์ เชื่อปิดดีลเพิ่มขายข้าวไทย 5 แสนตัน

วันนี้ (วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2568) เวลา 10.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองคยองจู ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ ห้อง 300C ชั้น 3 ศูนย์ประชุม Hwabaek International Convention Centre (HICO) เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 รอบที่ 2 (The 32nd APEC Economic Leaders’ Meeting - Session II) ภายใต้หัวข้อ “Preparing a Future-Ready Asia-Pacific”

ภายหลังประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีกล่าวเปิดการประชุม ได้เชิญให้ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกล่าวถ้อยแถลง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงเป็นลำดับที่ 3 ต่อจากสหรัฐฯ

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลง โดยกล่าวชื่นชมสาธารณรัฐเกาหลีสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและการจัดงานเลี้ยงต้อนรับที่น่าประทับใจ พร้อมระบุว่า ในช่วงกว่า 36 ปีที่ผ่านมา เอเปคเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนภูมิภาคให้เป็น “เครื่องยนต์แห่งการเติบโตของเศรษฐกิจโลก” แต่ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร และภูมิอากาศ ซึ่งล้วนท้าทายความสามารถในการรับมือของภูมิภาค ดังนั้น เอเปคจึงต้องคงไว้ซึ่งบทบาทในฐานะภูมิภาคที่มีเสถียรภาพ นวัตกรรม และความสามารถในการปรับตัว เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต โดยไทยได้เสนอแนวทางสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

1) ยึดมั่นในการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและการเติบโตอย่างครอบคลุม เพราะความมั่งคั่งจะไม่มีความหมาย หากยังมีคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไทยเชื่อว่าการบูรณาการทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจะช่วยให้ทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในสังคม

2) ต้องเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ด้วยการสร้างความเชื่อมั่น ความปลอดภัย ความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยี AI และการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม ไทยได้จัดทำแนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI Ethics Guidelines) เพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีจะถูกออกแบบมาให้ใช้ได้อย่างปลอดภัยและเป็นธรรม พร้อมกันนี้ เอเปคต้องทำให้มั่นใจว่าผลประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ทั้งในเชิงเนื้อหาและแพลตฟอร์มออนไลน์ จะได้รับการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่และเท่าเทียม เพื่อให้นวัตกรรมสามารถเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ประชาชนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคได้อย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน ไทยยังได้เน้นย้ำถึงการเร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรมในโลกไซเบอร์ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์และการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นอาชญากรรมข้ามพรมแดนที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมกัน ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การบังคับใช้กฎหมายที่สอดคล้องกัน และการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่สังคม พร้อมขอบคุณสาธารณรัฐเกาหลีและสหรัฐอเมริกาสำหรับบทบาทนำในเรื่องนี้ โดยไทยพร้อมทำงานร่วมกันผ่านศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) และเวที APEC Online Scams Exchange Forum

3) เอเปคต้องเสริมพลังให้กับทุกกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะในยุคที่ประชากรกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย จึงต้องส่งเสริมการจ้างงานที่ครอบคลุม มีระบบดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการเรียนรู้ทุกช่วงวัย สำหรับไทยได้ผลักดันนโยบายการจ้างงานผู้สูงอายุ การขยายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และการวางแผนครอบครัวอย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีในทุกช่วงวัย

“ในยุคที่โลกไร้พรมแดนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่มีเขตเศรษฐกิจใดสามารถยืนอยู่ได้เพียงลำพัง หากเอเปคสามารถปรับทิศทางร่วมกันได้ เอเปคจะยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าของโลก แม้เส้นทางข้างหน้าจะไม่ง่าย แต่เอเปคจะเดินไปด้วยกัน ด้วยความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและเป้าหมายร่วมกัน เพื่อสร้างภูมิภาคที่เชื่อมโยง ยั่งยืน และพร้อมรับอนาคตอย่างแท้จริง” นายกรัฐมนตรีกล่าวปิดท้าย

โดยภายหลังการประชุมฯ ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคได้ถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน  จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางออกจากท่าอากาศยานฐานทัพอากาศกิมแฮ นครปูซานในเวลา 16.15 น. และจะเดินทางถึงประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ในเวลาประมาณ 21.00 น.

นายกฯหารือปธน.จีน เชื่อปิดดีลเพิ่มขายข้าวไทย5แสนตัน

เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2568) เวลา 16.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองคยองจู ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ โรงแรม Kolon เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ภายหลังการหารือทวิภาคีกับนายสี จิ้นผิง (Mr. Xi Jinping) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ  

โอกาสนี้  ประธานาธิบดีจีน กล่าวถวายความอาลัยการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อีกครั้ง  นายกรัฐมนตรีกล่าว ขอบคุณและซาบซึ้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ได้มีสารถวายความอาลัย และยังได้กล่าวด้วยถ้อยคำในครั้งนี้ ซึ่งมีความหมายต่อคนไทย  ทั้งนี้ จะได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลทรงทราบด้วย

นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับความสำเร็จของการประชุม Fourth Plenum ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ครั้งที่ 4 ซึ่งได้วางแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจจีนในระยะ 5 ปีข้างหน้า พร้อมย้ำว่าปี 2568 ถือเป็นวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ซึ่งเป็นจังหวะสำคัญในการร่วมกำหนดวิสัยทัศน์ใหม่เพื่ออนาคตที่ปลอดภัยและรุ่งเรืองร่วมกัน

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยืนยัน และพร้อมผลักดันความร่วมมือกับไทยในทุกมิติ ทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการเชื่อมโยงระดับประชาชน ขณะที่ นายกรัฐมนตรีเห็นถึงศักยภาพในการขยายความร่วมมือด้านนวัตกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงเศรษฐกิจดิจิทัล พลังงานสะอาด และเกษตรเพื่ออนาคต

นายกรัฐมนตรีชื่นชมความจริงจังของประธานาธิบดีสี ที่ให้คำมั่นกับไทยในการร่วมกันปราบปรามภัยไซเบอร์ (Cyber crime) ถือว่าเป็น อาชญากรรมทั้งทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ  ซึ่งไทยถือเป็นวาระแห่งชาติและจะระดมความร่วมมือจากภูมิภาคเพื่อที่ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีนี้ด้วย

นายกรัฐมนตรีและประธานาธิดีสี ถึงความร่วมมือด้านการเชื่อมโยง ซึ่งไทยกล่าวถึงความคืบหน้า การบริหารจัดการดำเนินการก่อสร้างรถไฟไทย-จีน รวมถึง โครงการสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 2 (หนองคาย–เวียงจันทน์) ซึ่งเป็นสะพานทางราง เพื่อเชื่อมต่อรถไฟไทย-ลาว-จีน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมโยงระบบรางกับจีน  ทำให้สินค้าสามารถเดินทางไปและกลับตั้งแต่จีนตอนล่างไปจนถึงแหลมมาลายู

ในการหารือ  นายกรัฐมนตรียังยืนยันกับท่านประธานาธิบดีสีว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้คาสิโน มาเป็นเครื่องยนต์กระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเชื่อมั่นว่า ด้วยความสามารถของคนไทย ผลิตภัณฑ์ไทย สินค้าไทย รวมทั้งเทคโนโลยีที่ไทยมีอยู่  ไทยมีทางเลือกอื่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ดีขึ้น จึงได้หยุดการนำเสนอกฎหมายการพนันทุกชนิดและขอเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาเที่ยวอีกครั้ง โดยรัฐบาลจะดูแลความปลอดภัยอย่างดี  

ซึ่งประธานาธิบดีกล่าว ชื่นชมนโยบายไทยและย้ำว่า ไม่คิดแทรกแซงการดำเนินนโยบายภายในของประเทศใดๆ แต่จะใช้มาตรการภายในของตน ในการหยุดยั้งไม่ให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเพื่อท่องเที่ยวคาสิโน เท่านั้น เพราะจีน เห็นว่า ธุรกิจการพนันมีผลเสียต่ออย่างมากต่อวิถีชีวิตของคน ซึ่งนายกรัฐมนตรี ย้ำถึงนโยบายรัฐบาลชุดนี้และความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ ที่ไม่ต้องการมีการพนันที่ถูกกฎหมายเช่นกัน

 

นายกรัฐมนตรี ยังถือโอกาสนี้ ติดตามการเจรจา การซื้อข้าวไทยจำนวน 500,000 ตันซึ่งคณะเจรจาได้ทำงานมาระดับหนึ่ง  ขณะที่จีนบริโภคบริโภคทั้งประเทศเกือบ 150 ล้านตัน เชื่อว่ามีแนวโน้มในทางที่ดี

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เชิญนายกรัฐมนตรีจีน มาการประชุมแม่โขง- ล้านช้าง  ที่ประเทศไทยในช่วงปลายปีนี้ด้วย

“ภาพรวมการหารือกับประธานาธิบดีจีนสังเกตได้ถึงบรรยากาศฉันมิตร ปฏิกิริยากลับมาของจีน ซึ่งถือเป็นประเทศมหาอำนาจมีความสำคัญ เปลี่ยนแปลงทิศทางที่ดีขึ้น  และคณะผู้บริหารที่ร่วมหารือก็มีความพึงพอใจ ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศที่หยุดชะงักไป ได้รื้อฟื้นกลับมาอีกครั้ง เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ดีต้องมาจากพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ดี ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้าย