Digitel Tech & AI

TechInno Forum2025ชี้ขับเคลื่อน 'Care Economy'เป็นNew-S Curve 



กรุงเทพฯ-รายงานจากงานสัมมนาด้านเทคโนโลยี Outstanding Technologist Awards & TechInno Forum 2025 ภายใต้แนวคิด “The Care Economy: Connecting Innovation and Humanity” หรือ “เศรษฐกิจใส่ใจ เชื่อมโยงนวัตกรรมกับความเป็นมนุษย์” ที่จัดโดยมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) โดยมี กูรู เศรษฐกิจด้าน ESG และนวัตกรรมเข้าร่วมบรรยายและแลกเปลี่ยนมุมมองความคิด ระบุ “Care Economy” หรือ เศรษฐกิจใส่ใจ แนวคิดเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกายและใจของผู้คน ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนและสังคมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่เทรนด์ระดับโลก แต่เป็นทิศทางสำคัญ หรือ New-S Curve ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคต ที่นวัตกรรมสามารถเชื่อมโยงคน สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง

นายพิพิธ เอนกนิธิ ประธานกิจยั่งยืน ธนาคารกสิกรไทย ได้ให้ความเห็นในระหว่างปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Beyond the Care Economy: One Health as a Socio-economic Imperative” ถึงการนำวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม มาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจใส่ใจ หรือ Care Economy ที่เป็น New S-Curve สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนว่า “เวลาที่พูดถึง Care เราจะนึกถึงเรื่องของสุขภาพ การรักษาพยาบาล แต่จริงๆ แล้ว Care Economy เป็นเรื่องของการนำเรื่องของวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของคนและของโลกและเศรษฐศาสตร์ มาผนวกกันเพื่อพัฒนานวัตกรรมของประเทศ ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ในแบบของ “Care Economy”

การนำวิทยาศาสตร์และเศรษฐศาสตร์เข้ามาเพื่อสร้างเศรษฐกิจใส่ใจ หรือ Care Economy มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ด้าน คือ เรื่องแรกคือเรื่องของความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยี ถัดมาองค์ประกอบที่สองคือเรื่องของการเชื่อมโยงและให้ความสำคัญกับสุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และประเด็นสุดท้ายคือเรื่องของการกำหนดนโยบายด้านความยั่งยืน

“Care Economy เป็นเรื่องของการดูแลสุขภาพ ไม่ใช่แค่การรักษาโรค แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ ความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจ และการมีชีวิตของทั้งโลกนี้ ในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการ Health Care มาสู่ Care คือการดูแลสุขภาพ ไม่ใช่เฉพาะสุขภาพของเรา แต่หมายรวมถึงสุขภาพของโลก”นายพิพิธกล่าว และอธิบายเพิ่มเติมว่า

“ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย และมีภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชากรคิดเป็นสัดส่วนถึง 5% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ GDP ของประเทศจะลดลงเรื่อยๆ เพราะเรามีประชากรในวัยทำงานลดลงเรื่อยๆ ซึ่งประเทศไทยไม่สามารถที่จะเติบโตได้บนพื้นฐานของโครงสร้างเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่เราต้องพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ โดยใช้นวัตกรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ”

รองศาสตราจารย์แมททิโอ วิญอลี (Assoc. Prof. Matteo Vignoli) จากสถาบันอาหารแห่งอนาคต มหาวิทยาลัยโบโลญญา (Future Food Institute, University of Bologna) ประเทศอิตาลี ให้ข้อมูลในประเด็นที่เกี่ยวกับการพัฒนาและบริหารการจัดการอาหารเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ว่า  “สถานการณ์ของโลกในปัจจุบันอยู่ในสถานะที่เกินกำลัง เพราะมีการใช้ทรัพยากรของโลกที่ไม่สามารถสร้างมาทดแทนได้เป็นจำนวนมาก ทำให้เราต้องหันกลับมาบริหารจัดการโลกในมุมมองใหม่ สิ่งที่น่าสนใจคือ การให้ความสำคัญเกี่ยวกับการบริโภคที่สามารถสร้างสุขภาพที่แข็งแรงได้ อย่างที่องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศยกย่องอาหารเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Diet) ให้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ และเพื่อโลก เป็นแนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกโดยคำนึงถึงสุขภาพที่ดีทั้งคนและโลก

โดยแนวคิดดังกล่าวมาจากปัญหาสุขภาพของประชากรโลก ที่ผลการศึกษาพบว่า 7 ใน 10 ของการเสียชีวิตของประชากรโลก มีความเกี่ยวข้องกับอาหารและรูปแบบการใช้ชีวิต ในขณะเดียวกันก็มีผู้เสียชีวิตเพราะโรคอ้วนทั่วโลกถึง 4 ล้านคนต่อปี และในปี 2561 มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ถึง 40 ล้านคนที่มีน้ำหนักเกิน และการบริโภคเนื้อสัตว์ และอาหารแปรรูปที่มากเกินไป เป็นสาเหตุหลักของภาวะทุพโภชนาการและโรคเรื้อรัง ดังนั้นการที่จะสร้างโลกที่มีสุขภาพที่ดีต้องเริ่มต้นที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค”

รองศาสตราจารย์แมททิโอ วิญอลี กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางการทำงานของสถาบันฯ ในปัจจุบันว่า ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน เราต้องพัฒนาระเบียบวิธีคิดและกรอบความคิดในเรื่องนวัตกรรมที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง โดยมีเป้าหมายที่จะให้ผู้คนในโลก กินดี อยู่ดี เพื่อที่จะกู้โลกให้มีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน (The Longevity Algorithm: Eat Well, Stay Well, Save the Planet) ภายใต้แนวคิดดังกล่าว ทางสถาบันฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม ทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค นำวิทยาศาสตร์มาสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนในโลก ลดการทำลายสิ่งแวดล้อม เราไม่สามารถที่จะย้ายอุตสาหกรรมที่สร้างมลภาวะจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งแล้วบอกว่า ประเทศเราปลอดมลภาวะ เพราะมลภาวะไม่ได้หายไป ไม่ว่ามลภาวะจะอยู่ในประเทศไหน ก็คืออยู่ในโลกใบเดียวกัน ดังนั้นเราต้องนำวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมมาสร้างอาหารที่ดีกับสุขภาพเพื่อลดมลภาวะ และทำให้ผู้คนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”

เปิด 3 ผลงาน “Care Economy” รางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น ประจำปี 2568

จากแนวคิดเรื่อง Care Economy ทางมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้ประกาศผลงานด้านนวัตกรรมที่โดดเด่นของคนไทย โดย น.สพ. รุจเวทย์ ทหารแกล้ว ประธานกรรมการคัดเลือก รางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น และนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี 2568 กล่าวว่า “ในปีนี้มี 3 ผลงานที่ผ่านการคัดเลือกและคว้ารางวัล “นักเทคโนโลยีดีเด่น” และ “นักเทคโนโลยีรุ่นใหม่” ประจำปี 2568  ภายใต้แนวคิด “Care Economy” หรือ “เศรษฐกิจใส่ใจ” ซึ่งเป็นแนวคิดเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกายและใจของผู้คน ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างทั่วถึง โดยรางวัล
“นักเทคโนโลยีดีเด่น ประจำปี 2568” ได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล 1,000,000 บาท และโล่รางวัลพระราชทานประติมากรรม “เรือใบซูปเปอร์มด” จำนวน 2 รางวัล ได้แก่

1. ศ.ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา ภาควิชาวิศวกรรมอาหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จากผลงาน “การอบแห้งด้วยไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่ความดันต่ำ” ได้รับรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นประเภทเดี่ยว

2. ผศ. ดร.บรรยงค์ รุ่งเรืองด้วยบุญ และคณะ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการออกแบบและพัฒนาต้นแบบทางวิศวกรรมอย่างสร้างสรรค์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากผลงาน “ชุดนวัตกรรมฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผู้สูงอายุ” ได้รับ รางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นประเภทกลุ่ม 

และรางวัล “นักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี 2568” ได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเหรียญรางวัล “เรือใบซุปเปอร์มด” จำนวน 1 รางวัล คือ  ผศ. ดร.ศิรวัจน์ อิทธิภูริพัฒน์ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี “การบูรณาการนิวโรเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์เพื่อการส่งเสริมสุขภาพสมองและป้องกันสมองเสื่อมอย่างครบวงจร”

โดยผลงานแต่ละชิ้นสะท้อนให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพของนักเทคโนโลยีไทย ในการพัฒนานวัตกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถพัฒนาให้เป็นพลังสำคัญ ที่จะขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในอนาคต ท่ามกลางสภาวะ Disruptive Technology ที่เทคโนโลยีใหม่สามารถ “แทนที่ของเดิมได้อย่างสิ้นเชิง” น.สพ. รุจเวทย์ กล่าวสรุป

จากงานวิจัย สู่ การนำไปใช้ เพื่อสร้าง Care Economy

ศ. ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา ภาควิชาวิศวกรรมอาหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จากผลงาน “การอบแห้งด้วยไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่ความดันต่ำ” ผู้คว้ารางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นประเภทเดี่ยว กล่าวว่า “เทคโนโลยีนวัตกรรมในการแปรรูปผักผลไม้ที่อร่อยโดยไม่ต้องใส่สารเติม ต้องมี Passion และเชื่อว่าสิ่งที่ทำต้องสำเร็จ ต้องอาศัยทั้งความมุ่งมั่นและความร่วมมือกับพันธมิตรจากหลายภาคส่วน ทั้งมหาวิทยาลัย และภาคเอกชน ที่จะทำให้เกิดการขยายผล โดยโมเดลการทำงานต้องเริ่มจากการพูดคุย ลงทุน และต้องพร้อมที่จะเผชิญความล้มเหลว ขณะที่เรื่องลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ต้องอาศัยความช่วยเหลือทั้งจากสถาบันการเงิน ภาครัฐ หลายครั้งพบว่ากลุ่ม Startup จำนวนไม่น้อยต้องต้องล้มก่อนประสบความสำเร็จเนื่องจากปัญหาเงินทุน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน หน่วยงานสนับสนุนด้านเงินทุนมีความเข้าใจมากขึ้น แต่อาจจะยังมีกำแพงปิดกั้น ซึ่งอาจต้องเปลี่ยนแนวคิดและการบริหารจัดการเพื่อลดอุปสรรคการทำงานร่วมกัน”

ผศ. ดร.บรรยงค์ รุ่งเรืองด้วยบุญ และคณะ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการออกแบบและพัฒนาต้นแบบทางวิศวกรรมอย่างสร้างสรรค์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากผลงาน “ชุดนวัตกรรมฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผู้สูงอายุ” ผู้คว้ารางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นประเภทกลุ่ม กล่าวว่า “การสร้างผลงานต้องมี “ทีม” ที่เข้มแข็ง ซึ่ง Pain point ของโปรเจคนี้เริ่มจากการฟื้นฟูผู้ป่วยซึ่งมีอาการค่อนข้าง

รุนแรง และมีผู้ป่วยถึง 3.5 แสนคนต่อปีซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก เนื่องจากผู้ป่วยขาดโอกาสในการเข้าถึงเครื่องมือ แนวคิดนวัตกรรมที่ทางกลุ่มได้ออกแบบมาคือ การกระจายทั่วถึงสู่ระดับชุมชน รางวัลที่ได้รับครั้งนี้ เท่ากับเราก้าวสู่การเป็น Startup ที่สามารถเข้าถึงความต้องการตรงประเด็น โดยออกแบบภายใต้บริบทเงื่อนไขการใช้งานที่ตรงกับความต้องการของผู้ป่วยและผู้ฟื้นฟู การก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดในงานนี้ แรงขับเคลื่อนสำคัญคือ “ทีม” เราเริ่มหาแนวร่วมเพื่อผลักดันโปรเจค เพื่อให้เกิดการพัฒนาจริง แก้ปัญหาได้จริง และตกผลึกว่า สุดท้ายต้องไปสู่ระดับชุมชนให้ได้ และต้องขับเคลื่อนต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนโดยใช้ภาคธุรกิจเข้ามาช่วยคือ ธุรกิจ Startup ซึ่งเป็นการส่งเสริมภาคธุรกิจด้วย” ผศ. ดร.บรรยงค์ กล่าวสรุปและเพิ่มเติมว่า

“สำหรับโมเดลในการทำงาน เราลงทุนในชุมชน โดยโมเดลเรามาจาก Startup ขอทุนวิจัย นักศึกษาจะมีรายได้จากการเป็นผู้ช่วยวิจัย จากนั้นขอทุนวิจัย จาก TED Fund ซึ่งทำให้นักศึกษาสามารถมีเงินทุนมาสนับสนุนงานวิจัย ซึ่งทำให้เป็น Startup ที่มั่นคง โดยเราทำงานวิจัยมาแล้ว 4 ชิ้นที่นำกลับมาสร้างคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและผู้ฟื้นฟู”

ผศ. ดร.ศิรวัจน์ อิทธิภูริพัฒน์ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จากผลงาน “การบูรณาการนิวโรเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์เพื่อการส่งเสริมสุขภาพสมองและป้องกันสมองเสื่อมอย่างครบวงจร” ผู้คว้ารางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ กล่าวถึงผลงานที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ว่า “ผมศึกษาเรื่องนิวโรเทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์เพื่อการส่งเสริมสุขภาพสมองและป้องกันสมองเสื่อม โดยได้เชื่อมโยงแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน และสุดท้ายคือยกระดับให้เข้าไปถึงบุคคลให้ได้ โดยร่วมกับ บริษัท Startup เพื่อพัฒนาและนำนิวโรเทคโนโลยี มาผสานกับ AI เพื่อประสานองค์ความรู้ โดยแรงผลักดันที่นำไปสู่การประยุกต์ใช้มองภาพตัวขับเคลื่อนอะไร ที่ไปถึงผู้ใช้งาน คำตอบคือ โรคทางสมอง รักษาไม่ได้ แต่สามารถหาแนวทางการป้องกันได้ หากรู้จักผู้ป่วย การป้องกันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งเราจำเป็นต้องรู้ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยให้มากที่สุดจะมีประโยชน์สูงสุด

“ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยไทย มีความสำคัญมาก ทำอย่างไรถึงจะสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ นักวิจัยไม่ได้ต้องการเงินทุนอย่างเดียว แต่อยากได้ Strategic Partner เพื่อมาทำงานร่วมกัน ผมเชื่อในกฎแรงดึงดูด เช่น เริ่มจากการทำงานที่เปิดโลกให้เห็นว่า งานเชิงวิทยาศาสตร์มาช่วยเรื่อง Senior Living ได้อย่างไร ทำให้เกิดการต่อยอด การประชุมหลายเวที เกิดการเชื่อมโยง และขยายต่อยอดไปสู่เรื่องใหม่ๆ นำไปสู่การรวมกลุ่มในอาเซียนมีการรวมตัวกันเพื่อทำงานด้านนี้ ทำให้เห็นภาพว่า นักวิทยาศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะรวมกลุ่มกันได้อย่างไร ในเชิง Collaboration ซึ่งในเอเชียมีข้อมูลเชิงวิขาการด้านสุขภาพค่อนข้างมาก ข้อมูลด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ เราต้องเชื่อว่าเอเชียกำลังเป็นขาขึ้น โดยต้องผนึกกำลังกันในอาเซียนให้สำเร็จเพื่อพัฒนาและขายสิ่งเหล่านี้กลับไปยังฝั่งตะวันตกและยุโรป”

นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรม TechInno Mart จัดแสดงนวัตกรรมใหม่ ๆ มากกว่า 30 ผลงาน อาทิ เทคโนโลยีการตรวจอัลบูมินในปัสสาวะเพื่อคัดกรองโรคไตอย่างรวดเร็ว และ A-MED Care แพลตฟอร์มกลางสำหรับหน่วยบริการปฐมภูมิ จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), เรา Young Fit (FITKAN) จากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC), Albumin Smart Test: นวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองโรคไตด้วยแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, NUMUKA Edna Serum เซรั่มลดริ้วรอยจากเปปไทด์จิ้งหรีด, หุ่นชีวิน ชุดอุปกรณ์ฝึกสอนการช่วยชีวิต จากสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (INT) มหาวิทยาลัยมหิดล, นวัตกรรมสิ่งทอเส้นใยเฮมป์ สู่การออกแบบผลิตภัณฑ์ แฟชั่นไลฟ์สไตล์กลุ่มผู้สูงวัยญี่ปุ่น ด้วยแนวคิด BCG จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ข้าวปลาวาฬ ข้าวไร้แป้ง จากบริษัท เนรมิต ฟู้ดเทค จำกัด

งาน Outstanding Technologist Awards & TechInno Forum 2025 จัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับ มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.), บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)