ECO & ESG

นักวิชาการมธ.จี้รัฐถกด่วน‘พม่า’ใช้‘TEIA’ กู้วิกฤต‘โขง-สาละวิน’ปนเปื้อนสารพิษ



นักวิชาการธรรมศาสตร์ คาดเหมืองแร่ในรัฐกะเหรี่ยง-รัฐฉาน ต้นเหตุก่อมลพิษในแม่น้ำสาละวิน จนสารหนูพุ่งเกินมาตรฐาน 5 เท่าตัว แนะรัฐถกด่วนเมียนมา-รัฐอิสระ พร้อมผลักดันกลไกประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนก่อนไฟเขียวสัมปทาน หลังก่อนหน้าเกิดปัญหาในแม่น้ำกก-โขง ขณะที่ระยะเร่งด่วน เสนอจัดสรรงบฉุกเฉินเยียวยาประชาชน ชี้ คพ.ควรลงพื้นที่เป็นแม่งานจัดเก็บข้อมูลสิ่งแวดล้อมให้เป็นเอกภาพ

รศ. ดร.สุรศักดิ์ บุญเรือง อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้อำนวยการโครงการหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายทั่วไป คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า การตรวจพบสารหนูสูงเกินค่ามาตรฐาน 5 เท่า ในแม่น้ำสาละวิน จนทำให้นายอำเภอสบเมย จ.แม่ฮ่องสอน สั่งห้ามประชาชนสัมผัสน้ำและงดบริโภคปลาจากแม่น้ำสาละวิน คาดว่าเกิดจากการทำเหมืองแร่ทางตอนใต้ของรัฐฉาน และรัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ซึ่งอาจเป็นพื้นที่ทำเหมืองแร่ดีบุกในรัฐกระเหรี่ยง หรือเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ในรัฐฉาน ที่สร้างผลกระทบให้ลุ่มแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอความชัดเจนในส่วนของข้อมูลการตรวจค่าการปนเปื้อนในแหล่งน้ำในรายละเอียดอีกครั้ง เหตุการณ์นี้สะท้อนว่า ในระยะยาวรัฐบาลไทยจำเป็นที่จะต้องสร้างความร่วมมือกับรัฐบาลและรัฐอิสระในเมียนมา เพื่อให้เกิดการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามเขตแดน (Transboundary Environmental Impact Assessment) หรือ TEIA ซึ่งเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามเขตแดน หรือ อนุสัญญาเอสปู (Espoo Convention) ขึ้นโดยทันที และเร่งด่วน

ทั้งนี้ เนื่องจากประชาชนทั้งสองประเทศที่พึ่งพิงแม่น้ำในการอุปโภคและบริโภค ทั้งแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำโขง ต่างได้รับความเดือดร้อนจากการประกอบการ ฉะนั้นกลไกการทำ TEIA แบบทวิภาคี จะเข้ามาช่วยกำหนดให้บริษัทเอกชนที่รับสัมปทานเหมืองแร่ต่างๆ ในเมียนมา ต้องระบุลงไปในรายงานว่ากิจการเหมืองจะมีการทำกิจกรรมอะไรบ้าง สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ตลอดจนมีมาตรการป้องกันผลกระทบอย่างไร ซึ่งข้อมูลจาก TEIA จะเป็นฐานข้อมูลให้ประเทศไทยนำมาออกแบบเพื่อสังเกตการณ์ เฝ้าระวัง และนำไปสู่การลดผลกระทบได้ โดยการดำเนินการ TEIA อาจเป็นไปในลักษณะเดียวกับโครงการการพัฒนาแหล่งแร่ทองแดงและทองคำ อันดาช (Andash) ที่ตั้งอยู่ในประเทศคีร์กีซสถาน และใกล้กับชายแดนประเทศคาซัคสถาน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศได้มีการพัฒนาโครงการนำร่องเพื่อทำ TEIA และกระบวนการปรึกษาหารือร่วมกัน

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปถึงมาตรการเฉพาะหน้าเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสารหนูในแม่น้ำสาละวินว่า รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณฉุกเฉินเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำสาละวินเป็นมลพิษ และต้องสนับสนุนการเฝ้าระวังและจัดทำระบบแจ้งเตือนแก่ประชาชน โดยควรเป็นข้อมูลชุดเดียวอย่างเป็นทางการ เพราะปัจจุบันแม้ว่าจะมีหน่วยงานในพื้นที่เข้าไปดำเนินการเก็บข้อมูล ตรวจวัดคุณภาพน้ำ การสืบหาแหล่งที่มาของมลพิษ แต่ก็ยังเป็นไปในลักษณะแยกส่วนกันทำ ข้อมูลจึงมีหลายชุด ซึ่งหน่วยงานภารัฐส่วนกลางอย่างกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ควรจะเข้ามาเป็นแม่งานในการดำเนินการเพื่อให้เกิดข้อมูลชุดเดียวกัน และควรเข้าไปเก็บข้อมูลบริเวณในจุดที่ใกล้กับแหล่งกำเนิดมลพิษด้วย

“รูปธรรมที่ไทยเคยทำไว้ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับการทำ TEIA และสามารถนำเป็นแนวทางได้ ก็คือการทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน หรือ MRA ใน 4 ประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม โดยมีจีนและเมียนมาเป็นรัฐคู่เจรจา หากประเทศจีนต้องการระบายน้ำจากเขื่อนสู่แม่น้ำโขง จีนจะต้องแจ้งประเทศในภาคี MRA ให้ทราบ หรือหากประเทศใดจะมีการพัฒนาใดๆ เกี่ยวกับแม่น้ำโขงก็จะต้องแจ้งประเทศภาคีเช่นกัน สิ่งเหล่านี้มีผลประโยชน์ในแง่ของการรับรู้ข้อมูล ที่จะนำไปสู่การออกแบบและบริหารเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น” รศ. ดร.สุรศักดิ์ กล่าว