In News

ประมวลภารกิจของนายกฯเยือนสิงคโปร์ ถก9ด้านด้านเชื่อมศก./ขายข้าวแสนตัน/ปี



นายกรัฐมนตรีและภริยา เดินทางถึงสิงคโปร์แล้ว เตรียมหารือนายรัฐมนตรีสิงคโปร์ เข้าเยี่ยมคารวะ ประธานาธิบดีสิงคโปร์ พร้อมพบปะคนไทยในสิงคโปร์  การต้อนรับอบอุ่น มิตรภาพบานสะพรั่ง! สิงคโปร์ตั้งชื่อกล้วยไม้สายพันธุ์ใหม่ Vanchoanthe Anutin Thananon Charnvirakul เป็นเกียรติแก่ “นายกฯ อนุทิน และภริยา”ในโอกาสการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ สะท้อนความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์ที่แน่นแฟ้น หลังจากนั้นนายกฯ อนุทิน ร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการในโอกาสเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ พร้อมหารือกับนายกฯ สิงคโปร์กระชับความร่วมมือรอบด้านครอบคลุมเศรษฐกิจสีเขียว ดิจิทัล ความมั่นคง ต่อสู้สแกมเมอร์ ยกระดับการส่งออกอาหารสู่ความมั่นคงทางอาหาร และบทบาทร่วมในอาเซียน และไทย–สิงคโปร์ แลกเปลี่ยนความตกลงข้าวและสาธารณสุข เดินหน้าความร่วมมือครอบคลุมเศรษฐกิจสีเขียว ความมั่นคงทางอาหาร ความเชื่อมโยง ดิจิทัล และความร่วมมือในเวทีโลกด้านผู้นำสองประเทศย้ำเสริมสร้าง “ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์และมองไปข้างหน้า” สู่ภูมิภาคที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

วันนี้ (ศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568) เวลา 10.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและภริยา พร้อมคณะ ได้แก่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติชางงี สาธารณรัฐสิงคโปร์ โอกาสการเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ โดยมี ดร. ตัน ซี เหล่ง (Dr. Tan See Leng) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณรัฐสิงคโปร์ ในฐานะรัฐมนตรีเกียรติยศ และนางสาวหว่อง เสี่ยว ผิง แคเทอริน (H.E. Ms. Wong Siow Ping Catherine) เอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทย รอให้การต้อนรับ

นายกรัฐมนตรีจะปฏิบัติภารกิจเต็มวัน โดยจะเข้าเยี่ยมคารวะนายทาร์มัน ซันมูการัตนัม (H.E. Mr. Tharman Shanmugaratnam) ประธานาธิบดีสิงคโปร์ หารือเต็มคณะกับนายลอว์เรนซ์ หว่อง (Mr. Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์  ร่วมงาน Set Government Roadshow 2025 และพบปะชุมชนไทย แรงงานไทย และกลุ่มนักศึกษาไทยในสิงคโปร์ด้วย

สิงคโปร์ตั้งชื่อกล้วยไม้สายพันธุ์ใหม่ชื่อ "อนุทิน-ธนนนท์"

เวลา 10.40 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และภริยา พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยัง สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ (Singapore Botanic Gardens) เพื่อเข้าร่วมพิธีตั้งชื่อกล้วยไม้ (VIP Orchid Naming) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและภริยาในโอกาสการเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า พิธี VIP Orchid Naming นับเป็นธรรมเนียมอันทรงเกียรติของรัฐบาลสิงคโปร์จัดขึ้นในการต้อนรับผู้นำประเทศและบุคคลสำคัญจากทั่วโลก โดยมีการตั้งชื่อต้นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

ในพิธีดังกล่าว รัฐบาลสิงคโปร์ได้ตั้งชื่อกล้วยไม้สายพันธุ์ใหม่ว่า Vanchoanthe Anutin Thananon Charnvirakul โดยเป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่มีความแข็งแรงและเติบโตดี มีช่อดอกตั้งยาวประมาณ 30 ซม. แต่ละช่อมีดอกบานหนาแน่น 3-6 ดอก ขนาดดอก 5 ซม. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีสีลาเวนเดอร์อ่อนและขาวไล่ระดับ พร้อมเส้นสีม่วงจาง ๆ ตัดด้วยกลีบปากสีม่วงสดสวยงามโดดเด่น กล้วยไม้สายพันธุ์นี้ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและภริยา เนื่องในโอกาสเยี่ยมชมสวน Singapore Botanic Gardens สะท้อนถึงไมตรีจิตและความสัมพันธ์อันยั่งยืนระหว่างไทยและสิงคโปร์

ภายหลังพิธี นายกรัฐมนตรีและภริยาได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลสิงคโปร์สำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการตั้งชื่อต้นกล้วยไม้ในนามของตน พร้อมย้ำว่าพิธีนี้เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ ความสัมพันธ์อันมั่นคงและความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ ซึ่งได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 60 ปีนับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และจะยังคงเติบโตต่อไปบนพื้นฐานของความเข้าใจ ความไว้วางใจ และความร่วมมือ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองชาติ

นายกฯอนุทินหารือกับนายกฯสิงคโปร์เศรษฐกิจสีเขียว ดิจิทัล ความมั่นคง ต่อสู้สแกมเมอร์ 

ช่วงเวลา 11.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ และตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ณ กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ โดยนายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ร่วมหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ณ ห้อง Heritage ชั้น 2 กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์และรัฐบาลสิงคโปร์ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นในโอกาสเดินทางเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมขอบคุณสำหรับพิธีตั้งชื่อกล้วยไม้ในช่วงเช้า และแสดงความซาบซึ้งที่นายลี เซียน ลุง ได้เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้แสดงความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ก่อนแสดงความยินดีที่มีโอกาสต้อนรับนายกรัฐมนตรี ในช่วงต้นของการดำรงตำแหน่ง พร้อมกล่าวว่า เฝ้ารอการเยือนของนายกรัฐมนตรีไทย หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในการประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย และการประชุมเอเปคที่เกาหลีใต้

นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์กล่าวต่อไปว่า การเยือนครั้งนี้มีความสำคัญยิ่งเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและสิงคโปร์ ทั้งยังสะท้อนมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างสองประเทศที่มีมาก่อนการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต โดยยกตัวอย่างการเสด็จเยือนสิงคโปร์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งพระราชทานรูปหล่อช้างสำริดให้ไว้เป็นที่ระลึก และยังคงตั้งอยู่ ณ อาคารรัฐสภาเก่าของสิงคโปร์มาจนถึงปัจจุบัน พร้อมย้ำถึงความผูกพันที่แน่นแฟ้นระหว่างประชาชนและผู้นำของทั้งสองประเทศ อันเป็นรากฐานสำคัญของความร่วมมือที่เข้มแข็งและหลากหลายมิติ พร้อมแสดงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือไทย–สิงคโปร์ให้ก้าวหน้าและมั่นคงยิ่งขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย

ในวาระครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตนี้ ผู้นำไทยและสิงคโปร์ต่างเห็นพ้องว่าเป็นโอกาสสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระดับสูง ทั้งจากการเยือนระดับราชวงศ์ การเยือนประเทศไทยของนายลอว์เรนซ์ หว่อง เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน รวมทั้งการพบปะระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เยือนไทยในโอกาสที่สะดวกด้วย

ทั้งสองฝ่ายยังยินดีที่ความร่วมมือระหว่างกันมีความก้าวหน้าอย่างรอบด้าน และเห็นพ้องจะผลักดัน “ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่มองไปข้างหน้า” (forward-looking strategic partnership) เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกันทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจสีเขียว ดิจิทัล และความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพของอาเซียนโดยรวม

ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสีเขียวและการพัฒนาที่ยั่งยืน นายกรัฐมนตรีไทยและสิงคโปร์ต่างเห็นพ้องว่าเป็นแนวทางของอนาคต ทั้งสองประเทศมีเป้าหมายเดียวกันในการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นฉบับแรกของสิงคโปร์ในอาเซียน และเห็นควรให้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด สนับสนุนโครงการไฟฟ้าเชื่อมโยงระยะที่ 2 ระหว่างลาว–ไทย–มาเลเซีย–สิงคโปร์ เพื่อส่งเสริมโครงข่ายพลังงานอาเซียน

ด้านเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานสีเขียว ทั้งสองฝ่ายยินดีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุตสาหกรรมสีเขียวและสนับสนุนการลงทุนร่วมด้านเทคโนโลยีสะอาด

ด้านความมั่นคงทางอาหาร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยพร้อมเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้สิงคโปร์ โดยการลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการค้าข้าวในวันนี้ จะช่วยให้สิงคโปร์มีข้าวไทยคุณภาพสูงเพียงพอต่อการบริโภค ทั้งยังเสนอให้มีการหารือแนวทางลงทุนร่วมในธุรกิจเก็บรักษาและแปรรูปอาหาร และจัดตั้งคณะทำงานความมั่นคงทางอาหารร่วมกัน เพื่อกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอ model food security ที่เป็นมากกว่าการขายอาหาร แต่เป็นการขายความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งความร่วมมือนี้จะเป็นโครงการบุกเบิก (pioneer project) ระหว่างไทย-สิงคโปร์ในเรื่องนี้ต่อไป

ด้านการลงทุน นายกรัฐมนตรียินดีที่สิงคโปร์เป็นนักลงทุนอันดับ 1 ในประเทศไทยต่อเนื่องเป็นปีที่สอง และต้องการให้แนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป พร้อมยินดีต้อนรับนักลงทุนสิงคโปร์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า ไบโอเทค และ Data Center โดยนายกรัฐมนตรียังมีกำหนดกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน SET Government Roadshow 2025 เพื่อเชิญชวนนักลงทุนสิงคโปร์เพิ่มการลงทุนในประเทศไทยในช่วงบ่ายวันนี้อีกด้วย

ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ไทยขอบคุณสิงคโปร์ที่สนับสนุนการเข้าร่วมภาคีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) และเห็นควรทำงานร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรฐานสากลด้านการค้าออนไลน์ที่เอื้อต่อประเทศขนาดกลางและขนาดเล็ก นอกจากนี้ ไทยในฐานะประธานคณะเจรจา จะผลักดันให้ลงนามกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) สำเร็จภายในปีหน้า โอกาสนี้ ไทยและสิงคโปร์ยังหารือถึงแนวทางในการเพิ่มความร่วมมือด้านพัฒนาทักษะดิจิทัล รัฐบาลดิจิทัล ความมั่นคงไซเบอร์ และการป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ รวมทั้งเชิญชวนบริษัทสิงคโปร์ลงทุนในโครงการไทยแลนด์ดิจิทัลวัลเลย์ (Thailand Digital Valley) ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีด้วย

ความร่วมมือด้านฟินเทค ไทยและสิงคโปร์ยินดีกับความสำเร็จในการเชื่อมโยงระบบชำระเงินข้ามพรมแดน ระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ของไทย และระบบเพย์นาว (PayNow) ของสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นต้นแบบในภูมิภาค และกำลังขยายผลสู่ประเทศอื่นภายใต้โครงการ Project Nexus ที่มี 5 ประเทศเข้าร่วม

ด้านสาธารณสุข ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาศักยภาพผู้นำด้านสาธารณสุขเพื่อการดูแลผู้สูงอายุในเมือง ในวันนี้ ซึ่งจะเปิดโอกาสความร่วมมือด้านการพัฒนาระบบสาธารณสุข การแพทย์ป้องกันโรค

ด้านแรงงาน ไทยพร้อมร่วมมือกับสิงคโปร์ในการพัฒนาศักยภาพบุคลากร รวมถึงความร่วมมือในการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต โดยเฉพาะทักษะดิจิทัลและเทคโนโลยีสีเขียว

ด้านความมั่นคง ไทยและสิงคโปร์เห็นพ้องที่จะคงความร่วมมือด้านการฝึกทางทหารและการใช้สถานที่ฝึกของกองทัพสิงคโปร์ในไทย พร้อมหารือความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การลงทุนร่วม วิจัยเทคโนโลยีทางทหาร และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้

ด้านการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ นายกรัฐมนตรีได้ขอรับความร่วมมือในการทำงานร่วมกับสิงคโปร์อย่างใกล้ชิดในการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับนานาชาติว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ และขอให้สิงคโปร์เป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งกับไทยในการแก้ไขปัญหานี้ รวมถึงขยายเครือข่ายข่าวกรอง การฝึกอบรม และปฏิบัติการร่วมกัน

ความร่วมมือในกรอบพหุภาคี ไทยและสิงคโปร์เห็นพ้องที่จะร่วมกันเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียนให้สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันของมหาอำนาจ โดยต่างเห็นพ้องว่า อาเซียนควรเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลกในเอเชีย ซึ่งขณะนี้อาเซียนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลก มี GDP รวมกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าควรเร่งส่งเสริมการเชื่อมโยงทางถนน รถไฟ ทางอากาศ ทางทะเล ดิจิทัล และพลังงาน เพื่อปลดล็อกศักยภาพของภูมิภาค ไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงอาเซียน กับจีน รวมถึงอินเดีย

ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า “Joint Declaration” ที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนาม จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญกับการดำเนินการใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม การแก้ไขปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ และการจัดการปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ พร้อมขอบคุณสิงคโปร์ที่ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยสันติวิธี

ไทย–สิงคโปร์ แลกเปลี่ยนความตกลงข้าวและสาธารณสุข

เวลา 12.05 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง) ณ กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายลอว์เรนซ์ หว่อง (H.E. Mr. Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและสิงคโปร์ รวม 2 ฉบับประกอบด้วย

(1) บันทึกความร่วมมือด้านการค้าข้าวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ (Memorandum of Cooperation on Rice Trade between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Singapore) ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานอาหารสิงคโปร์ (Singapore Food Agency : SFA) โดยมีสาระสำคัญเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคและส่งเสริมการค้าระหว่างสองประเทศ ไทยตกลงจะจำหน่ายข้าวให้แก่รัฐบาลสิงคโปร์ในปริมาณสูงสุดไม่เกิน 100,000 ตันต่อปี โดยถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าและความร่วมมือระหว่างไทย–สิงคโปร์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมสร้างกลไกความร่วมมือด้านการค้าอย่างเป็นระบบ และเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกข้าวไทยเข้าสู่ตลาดสิงคโปร์ได้มากขึ้น

(2) บันทึกความร่วมมือด้านการพัฒนาศักยภาพผู้นำด้านสาธารณสุขเพื่อการดูแลผู้สูงอายุในเมือง (Memorandum of Understanding on Capacity Building for Healthcare Leadership in Urban Ageing Care) ระหว่างสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร เพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กับ Singapore Health Services เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการ การพัฒนาและถ่ายทอดนวัตกรรม และการฝึกอบรมด้านการดูแลผู้สูงอายุแบบไร้รอยต่อ อันจะช่วยพัฒนาทักษะและศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ไทย ให้สามารถเป็นผู้ฝึกสอน (coach) ถ่ายทอดความรู้และเสริมสมรรถนะของบุคลากรในสถานบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภายหลังพิธีแลกเปลี่ยนความตกลง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และนายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ได้ร่วมกันแถลงข่าว สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ พร้อมขอบคุณในไมตรีจิตและการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่มอบให้ การเยือนครั้งนี้มีความสำคัญและเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไทยและสิงคโปร์เฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ซึ่งความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศใกล้ชิดทุกระดับ ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นที่สนใจและเป็นประโยชน์ร่วมกัน ใน 4 ด้าน ดังนี้

ด้านที่ 1 ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการลงนามในความตกลงว่าด้วยการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งถือเป็นความตกลงฉบับแรกของสิงคโปร์กับประเทศสมาชิกอาเซียน และจะเปิดทางให้ทั้งสองประเทศสามารถเริ่มซื้อขายคาร์บอนเครดิตร่วมกันได้ในเร็ว ๆ นี้ รวมทั้งยืนยันการสนับสนุนโครงการเชื่อมโยงพลังงานไฟฟ้าระยะที่สอง (Lao PDR–Thailand–Malaysia–Singapore Power Integration Project Phase 2) เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านพลังงานในภูมิภาค รวมถึงได้หารือแนวทางความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย

ด้านที่ 2 ความร่วมมือเพื่อเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นและเชื่อมโยงกันมากขึ้น ไทยชื่นชมสิงคโปร์ที่เป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และยินดีต้อนรับการลงทุนเพิ่มเติมจากสิงคโปร์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า ไบโอเทค และ Data Centers รวมทั้งได้หารือถึงความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ เช่น การร่วมทุนในธุรกิจซ่อมบำรุงและปรับปรุงอากาศยาน (MRO) ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของทั้งสองประเทศให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค

ความร่วมมือดิจิทัล ไทยและสิงคโปร์ยังพร้อมสนับสนุนความร่วมมือทางด้านดิจิทัลผ่านความตกลงหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Partnership Agreement: DEPA) และความตกลงกรอบเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework Agreement: DEFA) รวมถึงความร่วมมือในระดับทวิภาคี ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการบูรณาการด้านดิจิทัลและนวัตกรรม

ความมั่นคงทางอาหาร ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านการค้าข้าวในวันนี้ ซึ่งจะรับประกันการส่งออกข้าวคุณภาพสูงจากไทยเพื่อผู้บริโภคในสิงคโปร์

สาธารณสุข ทั้งสองฝ่ายยังยินดีต่อการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาศักยภาพผู้นำด้านสาธารณสุขเพื่อการดูแลผู้สูงอายุในเมือง ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ไทยในการรับมือกับความท้าทายของสังคมสูงวัยในอนาคต

ด้านที่ 3 การเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ  ไทยและสิงคโปร์จะเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือในด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีด้านกลาโหม ที่สำคัญ ทั้งสองประเทศจะยกระดับความร่วมมือในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมทางออนไลน์ โดยประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ในเร็ว ๆ นี้ และจะทำงานร่วมกับสิงคโปร์และประเทศอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด

ด้านที่ 4 การประสานความร่วมมือในระดับภูมิภาค ไทยและสิงคโปร์ยืนยันจะกระชับการประสานความร่วมมือในระดับภูมิภาคมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้อาเซียนมีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น ทั้งสองประเทศเห็นพ้องจะผลักดันให้เกิดการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อเปิดศักยภาพของตลาดอาเซียน รวมทั้งจะร่วมกันสำรวจแนวทางเพื่อยกระดับความเชื่อมโยงในภูมิภาค ทั้งทางถนน รถไฟ ทางอากาศ ทางทะเล ดิจิทัล และพลังงาน โดยไทยพร้อมใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ในการเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาค เพื่อเชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทางทะเลและจีน ตลอดจนเชื่อมโยงกับอินเดีย

ในความร่วมมือระดับโลก ไทยและสิงคโปร์จะยึดมั่นในระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดตามกฎระเบียบ ท่ามกลางแรงกดดันของกระแสกีดกันทางการค้า โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งต่อนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาด้วย และยืนยันถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะดำเนินการตาม Joint Declaration ที่ลงนาม ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา และขอขอบคุณสิงคโปร์ที่ให้การสนับสนุนไทยและกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยได้รับการสนับสนุนจากอาเซียน