EDU Research & Innovation
โมเดลซูเปอร์อสม.นวัตกรสธ.ชุมชนทาง ออกระบบสาธารณสุขไทยในชนบท
กรุงเทพฯ-ด้วยสภาพพื้นที่ที่ห่างไกลของ ‘อำเภออมก๋อย’ จังหวัดเชียงใหม่ ความเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวบ้านที่ต้องเดินเท้าหลายชั่วโมงเพื่อไปให้ถึงโรงพยาบาล โดยเฉพาะในฤดูฝนที่เส้นทางกลายเป็นโคลนลำบากต่อการเดินทาง ทำให้หลายชีวิตไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ทันเวลา แต่วันนี้สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลง เมื่อ “ซูเปอร์ อสม.” ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญกลายเป็นความหวังใหม่ในการช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่ทุรกันดาร
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ร่วมกับคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) พร้อมภาคีหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ ได้ร่วมกันพัฒนา “ซูเปอร์ อสม.” หรือ “นวัตกรสาธารณสุขชุมชน” เพื่อเสริมความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดาร ภายใต้โครงการ “การศึกษากลไกในพื้นที่สำหรับขยายผลการพัฒนาซุปเปอร์ อสม. ในพื้นที่ทุรกันดาร”
โครงการนี้มุ่งสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืนจากฐานชุมชน โดยใช้แนวคิดของ “ซูเปอร์ อสม.” ไม่ได้มุ่งเพียงเพิ่มทักษะทางการแพทย์ให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเท่านั้น แต่คือการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล โครงการนี้ทำหน้าที่เป็น “สะพาน” เชื่อมระหว่างระบบสาธารณสุขกับชุมชน ผ่านการสร้างคนในพื้นที่ให้มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการดูแลกันเอง เพื่อให้สามารถช่วยเหลือและส่งต่อผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที

นายบวรศักดิ์ เพชรานนท์ นักวิจัย ศูนย์ส่งเสริมและสนับสนุนมูลนิธิโครงการหลวงและโครงการพระราชดำริ มจธ. และหัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า “ในพื้นที่ภูเขาสูงอย่างอำเภออมก๋อย การเดินทางคืออุปสรรคใหญ่ของการเข้าถึงบริการสุขภาพ ผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถออกจากหมู่บ้านได้แม้มีอาการหนัก ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ก็เข้าไม่ถึง แม้จะมี อสม.ทำหน้าที่สื่อกลางด้านสุขภาพระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขกับคนในชุมชน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เราจึงต้องสร้างคนในพื้นที่ให้ลุกขึ้นมาดูแลกันเอง นี่คือหัวใจของ ‘ซูเปอร์ อสม.’”
การพัฒนาเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ปัญหาเชิงลึกในพื้นที่จริงโดยทีมอาจารย์จากมหาวิทยาลัยรังสิตที่ส่งนักศึกษาพยาบาลลงฝึกภาคสนามในหมู่บ้านห่างไกลทุกปี จนพบว่าปัญหาเร่งด่วนในพื้นที่มีอยู่สองเรื่องคือ “การปฐมพยาบาลจากอุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน” และ “การดูแลแม่และเด็ก” ที่เชื่อมโยงกับความเชื่อและวัฒนธรรมในพื้นที่
“ในพื้นที่เราจะได้เห็นเด็กที่ตัวร้อนแต่ถูกผ้าห่อไว้แน่นเพราะพ่อแม่คิดว่าเด็กหนาว หรือแม่ที่ตั้งครรภ์แต่ไม่กล้ากินอาหารที่ดีเพราะกลัวลูกตัวใหญ่คลอดยาก ความเข้าใจผิดเล็กๆ เหล่านี้กลายเป็นปัญหาชีวิต เราเลยต้องเริ่มจากการสอน อสม. ให้รู้จริง รู้ลึก และสามารถอธิบายให้คนในหมู่บ้านเข้าใจได้ โดยให้ลงมือทำจริงในพื้นที่ ไม่ใช่แค่เรียนในห้องประชุม” นายบวรศักดิ์ เล่าถึงสิ่งแรกๆ ที่โครงการเข้าไปทำงาน

“ซูเปอร์ อสม.” ไม่ได้ใช้การอบรมแบบเดิม แต่สร้าง “ระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้” ที่ให้ อสม. เรียนรู้จากการลงมือทำจริง เริ่มจากเวิร์กชอปเชิงปฏิบัติที่ใช้เครื่องมือจริง ไปจนถึงการเข้าไปสังเกตการณ์ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล พร้อมระบบพี่เลี้ยงจากเจ้าหน้าที่ รพ.สต. คอยกำกับดูแลในช่วงแรกจนกว่าจะมั่นใจและทำได้ด้วยตนเอง มีการฝึกซ้อมต่อเนื่องทุกเดือน และเชื่อมโยงกันผ่านกลุ่มไลน์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เพราะช่วยให้ซูเปอร์ อสม. ส่งภาพอาการผู้ป่วยเพื่อขอคำปรึกษาจากทีมพี่เลี้ยงและนักวิจัยได้ตลอดเวลา การเรียนรู้จึงเกิดขึ้นจริงในทุกพื้นที่ ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติงาน และความรวดเร็วนี้เองที่ช่วยให้ชีวิตคนในชุมชนปลอดภัยขึ้น” นายบวรศักดิ์ กล่าว
ในช่วงระยะเวลาเพียง 7 เดือน (ตุลาคม 2566 ถึงเมษายน 2567) ซูเปอร์ อสม. จำนวน 30 คน สามารถทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการดูแลสุขภาพชาวบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเลขที่สะท้อนผลงานอย่างชัดเจนคือการให้บริการรักษาตามอาการรวม 1,268 ครั้ง โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นปัญหาระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โดยการตรวจวัดความดันและระดับน้ำตาลในเลือดให้กับกลุ่มเสี่ยง 96 คนอย่างต่อเนื่อง และติดตามผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่อีกหลายราย ขณะเดียวกันก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายของชาวบ้านลงได้กว่า 400,000–900,000 บาท จากการไม่ต้องเดินทางออกนอกพื้นที่เพื่อรับบริการพื้นฐาน

อีกสิ่งที่น่าทึ่งคือ เมื่อซูเปอร์ อสม. เริ่มมีความรู้และความมั่นใจ พวกเขาไม่ได้หยุดแค่ช่วยเหลือผู้ป่วยรายบุคคล แต่เริ่ม “โครงการสุขภาพของหมู่บ้าน” ด้วยตัวเอง เช่น โครงการลดเค็มในผู้สูงอายุที่ใช้เครื่องตรวจวัดความเค็มในอาหารเป็นเครื่องมือสื่อสาร หรือโครงการสอนเช็ดตัวเด็กอย่างถูกวิธีเพื่อลดอาการไข้สูงในทารก รวมถึงโครงการกายภาพบำบัดผู้สูงอายุติดเตียงที่ใช้เครื่องชักรอกช่วยให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง
โครงการนี้จึงกลายเป็นตัวอย่างชัดเจนของการแก้ปัญหาแบบ “Bottom-up” ที่เริ่มจากการเข้าใจบริบทของพื้นที่จริง แทนที่จะรอคำสั่งหรือโครงการจากส่วนกลางที่มักไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะระบบการเบิกจ่ายเวชภัณฑ์ที่ไม่ยืดหยุ่นและนโยบายจากส่วนกลางที่ยังไม่เข้าใจบริบทของพื้นที่ เช่น การบังคับใช้แอปพลิเคชันรายงานผลในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต รวมถึงค่าตอบแทนสวนทางกับภาระงานที่มากขึ้น
“ซูเปอร์ อสม. ต้องไปเยี่ยม ไปรักษาผู้ป่วย แต่ค่าตอบแทนยังเท่าเดิมและเท่ากันกับอสม.ทั่วไป เกรงว่าคนทำงานอาจหมดไฟ หากไร้แรงจูงใจเพิ่มเติม” นายบวรศักดิ์ กล่าว พร้อมเสนอแนวทางสนับสนุนในรูปแบบไม่ใช้เงิน เช่น มอบแผงโซลาร์เซลล์ให้บ้านที่ไม่มีไฟฟ้า หรือให้ทุนการศึกษาบุตรหลานของผู้ที่ทำผลงานดีเด่น เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยเชื่อว่าโมเดลซูเปอร์ อสม. นี้ไม่เพียงเป็นทางออกสำหรับพื้นที่ภูเขาในภาคเหนือเท่านั้น แต่ยังสามารถขยายผลไปยังพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ เพื่อให้คนไทยทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มฐานราก ได้รับโอกาสในการดูแลสุขภาพอย่างเท่าเทียม “เราคิดว่าโมเดลนี้สามารถขยายไปได้ทั่วประเทศ ถ้าระบบราชการยอมปลดล็อกและสนับสนุนการทำงานจากฐานราก เพราะสุขภาพของคนไทยทั้งประเทศจะดีขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการดูแลที่เท่าเทียม และคนในพื้นที่นี่แหละ คือคำตอบที่แท้จริงของระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืน” นายบวรศักดิ์ ย้ำ
