In Thailand
กมธ.วิสามัญยกร่างกฏหมายนิรโทษกรรม ลงพื้นที่รับฟังความทุกข์ชาววังน้ำเขียว
นครราชสีมา-กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ นิรโทษกรรมแก่ราษฎรลงพื้นที่รับฟังความเห็นประชาชนอำเภอวังน้ำเขียวเรื่องข้อพิพาทที่ดินทำกิน
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 จากกรณีชาวบ้านในพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียวจังหวัดนครราชสีมาแต่ประสบปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกิน ซึ่งได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับคดีนี้จำนวนกว่า 552 คดีซึ่งทำให้ประชาชนในพื้นที่เดือดร้อน ซึ่งวันนี้ คณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ นิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งนำโดยพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและ ประธานกรรมาธิการฯ พร้อมคณะได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาเชิงลึกจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐในอดีต ซึ่งทำให้หลายรายถูกดำเนินคดี ทั้งที่อยู่ระหว่างกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่มาก่อนที่รัฐจะประกาศเขตป่าพื้นที่ตำบลไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งจะมีผลในการนำข้อมูลของภาครัฐและภาคประชาชนเพื่อร่างบัญญัติข้อกฎหมายในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกิน แก่สภาผู้แทนราษฎร ในวาระ 2 และ3 ที่จะเปิดสมัย ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่จะถึงนี้

โดยนางบังอร พรอันแสง อายุ 57 ปี ชาวบ้านหมู่ 2 บ้านสุขสมบูรณ์ ที่เดือดร้อน เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ครอบครัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ซึ่งเสียชีวิตไปหมดแล้ว ปัจจุบันอยู่กันแบบสืบทอดที่ทำกินจากบรรพบุรุษ ทำเกษตร ปลูกป่า และร่วมพัฒนาชุมชนด้านการท่องเที่ยวและเกษตรปลอดสารพิษมาโดยตลอด “เราดูแลป่าทุกปีค่ะ ปลูกจนตอนนี้แทบไม่มีพื้นที่ให้ปลูกแล้ว เราดูแลบ้าน ดูแลเมืองมาตลอด” สามีคือนายทองตู่ พรอันแสงถูกจับกุมมาแล้วกว่า 3 เดือน ตั้งวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นคนในพื้นที่ดั้งเดิม ส่วนอีกคนในชุมชนก็เพิ่งถูกคุมขังไปเพียง 3 วัน ทั้งหมดเป็นชาวบ้านที่ตั้งใจทำกิน ไม่เคยมีเจตนาบุกรุกป่าแต่อย่างใด “เราทำมาหากิน อยู่แค่ไหนก็อยู่แค่นั้น ไม่เคยลุกป่าหรือไปเบียดเบียนใครเลย ทั้งนี้ชาวบ้านจึงขอให้ท่านทวีช่วยผลักดันความเป็นธรรมให้ผู้ที่ถูกจับกุมโดยไม่ชอบ และช่วยให้เกิดการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมตามข้อเท็จจริงในพื้นที่ พร้อมฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เห็นใจคนที่ทำมาหากินสุจริต ไม่ได้มีเจตนาบุกรุก แต่เพียงต้องการอยู่ในผืนดินที่บรรพบุรุษอาศัยมาชั่วอายุคน

ด้านพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและ ประธานกรรมาธิการฯ เปิดเผยว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวพิจารณามาแล้วหลายครั้ง และเหลือเพียงอีก 1–2 ครั้งก่อนลงมติ โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ต้องการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าตัวบทกฎหมายที่จัดทำขึ้นสามารถตอบโจทย์ความยุติธรรมให้ประชาชนได้ครบถ้วนหรือไม่ ไม่ใช่พิจารณาเพียงในห้องประชุม แต่ต้องเห็นสภาพปัญหาจริงในพื้นที่
ร่างกฎหมายฉบับนี้แบ่งประเด็นปัญหาใหญ่เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
(1) กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 ซึ่งออกมาเพื่อ “หยุดจับกุม – หยุดดำเนินคดี” และให้รัฐเร่งพิสูจน์สิทธิ์ระหว่างประชาชนกับรัฐ ว่าใครอยู่มาก่อนในพื้นที่พิพาท แต่ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานของรัฐกลับไม่ดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์ตามกรอบเวลา ทำให้หลายพื้นที่ยังเกิดการจับกุมประชาชนที่รอการพิสูจน์สิทธิ์อยู่ เช่น พื้นที่วังน้ำเขียว ที่มีประชาชนกว่า 352 รายถูกดำเนินคดี แม้จะอาศัยอยู่ก่อนประกาศเขตป่า และเป็นพื้นที่เคยถูกกำหนดให้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามมติ ครม. สมัย พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ
(2) กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่าสมัย คสช.แม้คำสั่งจะกำหนดให้ยกเว้นการจับกุมผู้ยากไร้หรือผู้ไม่มีที่ทำกิน แต่ปรากฏว่าการปฏิบัติในภาคสนามไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ ทำให้ประชาชนจำนวนมากถูกจับกุมและถูกดำเนินคดี ทั้งที่อยู่ในเงื่อนไขได้รับการคุ้มครอง
นอกจากนี้ ยังมีกรณีผู้ต้องขังที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกในคดีลักษณะนี้ เมื่อร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้ ก็จะได้รับการปล่อยตัว ขณะที่ผู้ที่อยู่ในกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ก็จะมีโอกาสได้รับความเป็นธรรมตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ไม่ใช่ได้รับที่ดินทันที แต่ได้รับสิทธิ์ให้พิสูจน์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหานี้ต้องแก้ด้วย “กฎหมาย” เท่านั้น เพราะปัญหาเกิดจากการบังคับใช้กฎหมายในอดีต การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงเป็น “กระดุมเม็ดแรก” ที่จะสะท้อนเสียงของประชาชนเข้าสู่ร่างกฎหมาย เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้เป็นเครื่องมือคืนความยุติธรรมให้กับประชาชนทั่วประเทศ และสร้างความสมดุลระหว่างการคุ้มครองป่าไม้กับสิทธิในการดำรงชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง พร้อมย้ำว่าประเทศจะไม่สามารถพัฒนาได้ หากไม่ปฏิรูปเรื่องความเป็นธรรมด้านที่ดินและวิถีการอยู่ร่วมกันของประชาชนกับรัฐอย่างจริงจัง
กัศลักษณ์ รุ่งสุขประเสริฐ/ข่าวนครราชสีมา
