Think In Truth

มัชฌิมาประเทศแห่งสยาม: ศูนย์กลาง อำนาจละมุนแห่งเอเชีย โดย ฟอนต์ สีดำ



บทนำ: จุดยุทธศาสตร์แห่งหัวใจของเอเชีย

เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าในมิติทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์นั้น ประเทศไทยมักถูกมองด้วยสายตาที่ย่อหย่อนว่าเป็นเพียง "ประเทศขนาดเล็ก" ที่มีอิทธิพลจำกัดในเวทีโลกอันกว้างใหญ่  ทว่าในห้วงเวลาปัจจุบันที่โครงสร้างอำนาจโลกกำลังแปรเปลี่ยนอย่างมิอาจย้อนกลับได้ โลกกำลังประจักษ์ถึงสัจธรรมที่อยู่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ไทยมิใช่ประเทศที่เล็กดังที่เคยถูกกล่าวอ้าง หากพิจารณาจากแว่นของ "ภูมิรัฐศาสตร์ที่แท้จริง" อันเป็นวิชาที่ว่าด้วยการช่วงชิงและกำหนดทิศทางของอำนาจบนผืนโลก จะพบว่าประเทศไทยคือ "จุดยุทธศาสตร์ระดับหัวใจ" ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตำแหน่งแห่งที่ของราชอาณาจักรไทยบนแผนที่โลกนั้น มิได้บ่งชี้เพียงแค่พิกัดทางละติจูดและลองจิจูดเท่านั้น หากแต่เป็นเสมือน "จุดเชื่อมโลก" ที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ไว้ให้เป็นประตูบานสำคัญ การมีอ่าวไทยเชื่อมต่อกับทะเลจีนใต้ และฝั่งทะเลอันดามันเชื่อมโยงเข้ากับมหาสมุทรอินเดีย ทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการไหลเวียนของเส้นทางการค้าและพลังงานที่สำคัญยิ่งยวด เส้นทางเดินเรืออันเป็นเส้นเลือดใหญ่ของโลกอย่างช่องแคบมะละกาตั้งอยู่ห่างออกไปในระยะไม่ถึงหนึ่งพันกิโลเมตร ทำให้ไทยกลายเป็นผืนดินที่อยู่ภายใต้สายตาจับจ้องของมหาอำนาจระดับโลกอย่างจีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา  ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ใดที่สามารถควบคุมหรือมีอิทธิพลเหนือประเทศไทยได้ ย่อมมีศักยภาพในการควบคุม "เส้นเลือดทางเศรษฐกิจ" ของภูมิภาคอันมั่งคั่งนี้ได้ในทันที

มหาภาพของโลกกำลังเคลื่อนเปลี่ยนไปอย่างเงียบเชียบแต่ทรงพลัง สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำโลกเสรี พยายามรักษาอิทธิพลของตนในยุทธบริเวณอินโด-แปซิฟิก ขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังเดินเกมยุทธศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่ชื่อว่า "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" (One Belt One Road หรือ BRI) เพื่อสร้างโครงข่ายเศรษฐกิจแห่งตนเองให้ครอบคลุมผืนทวีปเอเชีย การลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงที่ทอดตัวจากคุนหมิงสู่หนองคาย และมุ่งสู่กรุงเทพฯ ก่อนจะเชื่อมต่อไปยังท่าเรือยุทธศาสตร์อย่างแหลมฉบังหรือมาบตาพุดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มิใช่เพียงแค่โครงการคมนาคม แต่คือ "โครงข่ายแห่งอำนาจ" ที่จะพลิกผันสมการการค้าในเอเชียอย่างถอนรากถอนโคน

ในทางกลับกัน สหรัฐฯ และพันธมิตรสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย ก็ได้ตอบโต้ด้วยการรวมกลุ่มและโครงการทางเศรษฐกิจที่มุ่งสร้างเครือข่ายใหม่ อาทิ กลุ่ม Quad (สี่เส้า) และ Indo-Pacific Economic Framework (IPEF) เพื่อพยายามสกัดกั้นอิทธิพลของจีนออกจากพื้นที่ยุทธศาสตร์บางส่วน ด้วยปรากฏการณ์นี้ ประเทศไทยจึงถูกกำหนดให้เป็น "จุดศูนย์กลาง" ที่ขั้วอำนาจทั้งสองต้องเข้าหา ต้องสานสร้างมิตรภาพ และต้องช่วงชิงหัวใจ  เพราะการได้ไทยมาเป็นพันธมิตรย่อมหมายถึงการได้ "ทางผ่าน" ที่สำคัญยิ่งสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งภูมิภาค

1. ศิลปะแห่งการทรงตัว: ยุทธศาสตร์ Hedging และความท้าทายของจุดยืนที่เป็นกลาง

ในขณะที่เกมอำนาจระดับโลกดำเนินไปอย่างดุเดือดและเข้มข้น ประเทศไทยกลับวางตัวอย่างสุขุมและสงบนิ่ง  นี่คือประจักษ์พยานแห่ง "ศิลปะแห่งการทรงตัว" ของประเทศขนาดกลางที่ปฏิเสธการเป็นเพียงเบี้ยบนกระดานหมากรุกของมหาอำนาจ ไทยไม่ได้ประกาศเลือกข้างอย่างชัดเจน หากแต่ดำเนินยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า "Hedging Strategy" หรือ "กลยุทธ์การประคองสมดุล"  กลยุทธ์นี้เปิดประตูต้อนรับการค้าและการลงทุนจากทั้งจีนและสหรัฐฯ ไปพร้อมกัน รักษาความสัมพันธ์อันดีกับยุโรป และไม่ทอดทิ้งพันธมิตรดั้งเดิมในอาเซียน นี่คือความชาญฉลาดเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งยังไม่สามารถบรรลุได้อย่างเต็มรูปแบบ

การเลือกข้างใดข้างหนึ่งในยุคแห่งความผันผวนนี้ถูกมองว่าเป็น "ความเสี่ยง" อย่างมหันต์ เนื่องจากมหาอำนาจสามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายและจังหวะก้าวได้ตลอดเวลา แต่การรักษาจุดยืน "ความเป็นกลาง" ทำให้ไทยยังคงเป็น "ตัวเชื่อม" ที่ทุกประเทศต้องการเข้ามาร่วมเจรจา  เมื่อพิจารณาลงไปในบริบทของอาเซียน ไทยยืนอยู่บนจุดที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม ประเทศเพื่อนบ้านมีการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชาที่เปิดรับจีนเต็มที่ เวียดนามที่เริ่มใกล้ชิดสหรัฐฯ หรืออินโดนีเซียที่กำลังยกระดับภูมิภาคด้วยการสร้างเมืองหลวงใหม่ แต่ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ โลจิสติกส์ และวัฒนธรรม ที่มีเสถียรภาพสูงที่สุดในภูมิภาค

แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในบ่อยครั้ง แต่โครงสร้างของรัฐและระบบราชการของไทยยังคงรักษาความต่อเนื่องของนโยบายได้อย่างน่าทึ่ง  องค์กรต่างชาติหลายแห่งวิเคราะห์ตรงกันว่า หากสงครามเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีนยืดเยื้อ ประเทศที่ตั้งอยู่ตรงกลางและเป็นจุดผ่านสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) จะกลายเป็นผู้ได้เปรียบ และประเทศไทยคือหนึ่งในนั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

รายงานจากองค์กรระดับโลก อาทิ ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ประเทศไทยยังคงมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียน มีการลงทุนสะสมจากต่างชาติเกินกว่า 240,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และกำลังเป็นฐานอุตสาหกรรมที่สำคัญของทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และจีนในเวลาเดียวกัน

ทว่าในทุกความได้เปรียบย่อมมี "ความเสี่ยง" ซ่อนเร้นอยู่เสมอ ประเทศไทยต้องเดินบนเส้นด้ายอันบอบบางระหว่าง "โอกาส" และ "แรงกดดัน" เมื่อภูมิรัฐศาสตร์โลกทวีความร้อนแรงขึ้น มหาอำนาจย่อมพยายามดึงไทยเข้าสู่เกมของตนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในสงครามการค้าและการแข่งขันทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และชิปอิเล็กทรอนิกส์

ดังนั้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเลือกใช้ยุทธศาสตร์ที่เฉียบคมยิ่งกว่าเดิม และต้องใช้ความเป็นกลางอย่าง "ชาญฉลาด" มิใช่เพียงเพื่อความปลอดภัยของชาติเท่านั้น แต่เพื่อ "ผลักดัน" ตัวเองขึ้นเป็น "ศูนย์กลางอำนาจอ่อน" (Soft Power Hub) ของภูมิภาค  ในยุคที่อำนาจไม่ได้ถูกวัดด้วยขีปนาวุธหรือขนาดเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงภาพลักษณ์ วัฒนธรรม และอิทธิพลทางสังคม ไทยมีทุนทางวัฒนธรรมมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ดนตรี ภาพยนตร์ หรือการท่องเที่ยว สิ่งเหล่านี้คือเครื่องมือที่มหาอำนาจยังต้องเรียนรู้ และหากไทยใช้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างมีกลยุทธ์ ก็อาจไม่จำเป็นต้องเลือกข้างใดเลย  โลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่สมรภูมิแห่งอิทธิพลรอบใหม่ ผู้ที่เข้าใจภูมิรัฐศาสตร์จะมองเห็นอนาคตของเศรษฐกิจ และผู้ที่เข้าใจการเมืองย่อมรู้ว่าอนาคตของประเทศอยู่ตรงไหน

2. เศรษฐกิจในมิติยุทธศาสตร์: ศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งเอเชีย

หากตอนแรกเราได้เห็นภาพใหญ่ของภูมิรัฐศาสตร์ไทยที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่โลกจับตา ในตอนนี้ เราจะพิจารณาถึง "พลังเศรษฐกิจ" ของไทย พลังที่กำลังขับเคลื่อนอย่างเงียบๆ แต่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วภูมิภาค และอาจเปลี่ยนโฉมหน้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทศวรรษหน้า

เศรษฐกิจไทยกำลังยืนอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุคสมัยใหม่ โลกกำลังเปลี่ยนสมรภูมิจากสงครามอาวุธมาเป็น "สงครามเศรษฐกิจ" และผู้ที่สามารถเป็นจุดผ่านของเงินทุน ห่วงโซ่อุปทาน และเทคโนโลยี จะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลโดยไม่ต้องใช้กำลังทหาร  ในแผนที่เศรษฐกิจเอเชีย ไทยคือ "ประตูสู่ภูมิภาคอาเซียน" ซึ่งมีประชากรรวมกว่า 600 ล้านคน และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) กว่า 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  ไทยไม่เพียงตั้งอยู่กึ่งกลางของตลาดขนาดใหญ่นี้เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเชื่อมของอุตสาหกรรมโลกที่กำลังเคลื่อนย้ายฐานการผลิตออกจากจีนภายหลังวิกฤตการณ์โควิด-19

โลกได้เรียนรู้ว่าการพึ่งพาการผลิตจากประเทศเดียวคือความเสี่ยง สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ต่างผลักดันนโยบาย "China Plus One" เพื่อกระจายความเสี่ยง และในรายชื่อประเทศเป้าหมาย ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มบนสุด เคียงคู่กับเวียดนามและมาเลเซีย ด้วยเหตุผลที่ว่าไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม มีแรงงานฝีมือ และมีระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัยในระดับชั้นนำของอาเซียน

มหาภาพของโลกในปัจจุบันคือการช่วงชิง "เส้นทางเศรษฐกิจใหม่" จีนผลักดัน BRI อย่างต่อเนื่อง สร้างเส้นทางรถไฟจากคุนหมิงผ่านลาวเข้าสู่ไทย และมุ่งเชื่อมไปยังท่าเรือแหลมฉบังในอ่าวไทย เพื่อเปิดทางลงสู่ทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดีย  ในทางตรงข้าม สหรัฐฯ ก็เดินหน้าด้วย IPEF เพื่อดึงพันธมิตรในเอเชียให้ร่วมสร้างมาตรฐานการค้าใหม่ที่ไม่พึ่งพาจีน หากพิจารณาจุดรวมของสองขั้วอำนาจนี้จะพบว่า "ประเทศไทย" คือแกนกลางของยุทธศาสตร์การค้าในภูมิภาคอย่างชัดเจน

เมื่อมองในเชิงภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจ ไทยจึงมิใช่เพียงผู้เล่นรายย่อย แต่เป็น "จุดเชื่อมขั้ว" ของเศรษฐกิจโลกที่ทุกฝ่ายต้องการจับมือด้วย โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งรัฐบาลไทยทุ่มเทการลงทุนอย่างมหาศาล จึงมิใช่เพียงโครงการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ หากแต่คือ "สนามแข่งขันทางยุทธศาสตร์" ของทุนจากจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ที่ต่างพยายามเข้ามาครอบครองส่วนแบ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และโลจิสติกส์

ญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของไทย โดยมีสัดส่วนกว่า 30% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด ขณะที่จีนเร่งขยายฐานอุตสาหกรรม EV และแบตเตอรี่ในเขตระยองและชลบุรี ส่วนสหรัฐฯ ก็เริ่มกลับมาเจรจาข้อตกลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเพื่อถ่วงดุลอำนาจการลงทุนของจีนในภูมิภาค  ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนว่า ไทยมิได้อยู่ในเกมเล็ก แต่กำลังเผชิญหน้ากับสมรภูมิเศรษฐกิจระดับโลกโดยที่เราอาจยังไม่ทันรู้ตัว

เกมอำนาจระหว่างมหาอำนาจมิได้หยุดอยู่แค่ทางทูตหรือการทหาร หากแต่ได้หยั่งรากลึกถึงระดับโรงงานและท่าเรือ ไทยคือพื้นที่สุดท้ายที่สองขั้วเศรษฐกิจต้องเข้ามาลงทุนเพื่อตั้งฐานและขยายอิทธิพลทางเทคโนโลยีไปพร้อมกัน  รถไฟของจีนที่ขยายตัวจากลาวมาถึงไทยมิใช่เพียงเส้นทางคมนาคม แต่เป็น "เส้นเลือดใหญ่" ที่นำสินค้าจากจีนลงสู่ทะเลอ่าวไทยได้โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองทัพเรือสหรัฐฯ มีอิทธิพลควบคุมอยู่  ในขณะที่สหรัฐฯ ก็พยายามสร้างความร่วมมือกับไทยในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ดิจิทัล และพลังงานสะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้จีนผูกขาดการผลิตในภูมิภาค  นี่คือสงครามใหม่ที่ไร้เสียงระเบิด แต่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ที่เข้มข้นยิ่งกว่า เพื่อการครอบครองเศรษฐกิจแห่งอนาคต และไทยกำลังอยู่ใจกลางสนามรบนี้โดยสมบูรณ์

3. ความท้าทายของความมั่นคง: จุดอ่อนและกับดักแห่งการพึ่งพา

แม้ประเทศไทยจะถูกยกสถานะให้เป็นศูนย์กลางทางภูมิรัฐศาสตร์และโลจิสติกส์ แต่ในทุกพลังที่มองเห็นย่อมมี "เงา" แห่งความเสี่ยงซ่อนอยู่  การผงาดขึ้นสู่ศูนย์กลางโลกมิได้มาโดยปราศจากราคาที่ต้องจ่าย มหาอำนาจย่อมไม่ปรารถนาให้ "ตัวกลาง" ดำรงอยู่ได้นานเกินไป

โลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า "ความไม่แน่นอนถาวร" (Permanent Uncertainty) ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง หรือความมั่นคง ล้วนผันผวนในระดับที่มิเคยปรากฏมาก่อน  การที่สหรัฐฯ กีดกันจีนผ่านการขึ้นภาษีและการควบคุมเทคโนโลยี และจีนตอบโต้ด้วยการเร่งขยายอิทธิพลผ่าน BRI ทำให้ประเทศขนาดกลางอย่างไทยถูกดึงเข้าสู่แรงเหวี่ยงของสองขั้วอำนาจที่มีพลังมหาศาล  นักวิชาการหลายสำนักเตือนตรงกันว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุค "โลกาภิวัตน์แยกส่วน" (Fragmented Globalization)  ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจและการค้าโลกจะแยกออกเป็นหลายขั้วตามแนวพันธมิตรทางการเมืองและเทคโนโลยี ผู้ที่เลือกข้างผิดอาจถูกตัดขาดจากตลาดสำคัญของโลกได้ในชั่วข้ามคืน

ในสมรภูมินี้ การแย่งชิงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทรัพยากร แต่ได้ขยายไปสู่ "ข้อมูล" "เทคโนโลยี" และ "พลังงานสะอาด" ซึ่งกลายเป็นอาวุธใหม่แห่งศตวรรษที่ 21  จีนลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นระบบ 5G, ดาวเทียมเป่ยโต๋ว หรือเมืองอัจฉริยะ เพื่อขยายอิทธิพลทางข้อมูลและเทคโนโลยี  ขณะที่สหรัฐฯ ก็สร้างพันธมิตรเศรษฐกิจเทคโนโลยีใหม่ เช่น IPEF เพื่อดึงประเทศในภูมิภาคให้เข้าร่วมในห่วงโซ่เซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก

ประเทศไทยในฐานะ "ตัวกลาง" ต้องเผชิญแรงกดดันจากทั้งสองด้านอย่างหนักหน่วง เพราะไทยคือศูนย์กลางของสายเคเบิลใต้น้ำ การสื่อสารดาวเทียม และระบบข่าวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  หากไทยเลือกเทคโนโลยีของจีน ก็อาจถูกจำกัดความร่วมมือด้านข้อมูลและความมั่นคงจากสหรัฐฯ แต่หากเลือกสหรัฐฯ ก็อาจลดบทบาทในเครือข่ายเทคโนโลยีของจีนที่กำลังขยายตัว นี่คือ "ทางแยก" ที่ไม่สามารถเดินได้พร้อมกันตลอดไป

นอกจากนี้ ความขัดแย้งตามแนวชายแดนในภูมิภาคก็เริ่มมีสัญญาณร้อนแรง ทั้งปัญหาทะเลจีนใต้ และความไม่สงบภายในประเทศเมียนมา ซึ่งอาจปะทุเป็น "ความขัดแย้งตัวแทน" (Proxy Conflict) ได้ทุกเมื่อ  ประเทศไทยซึ่งมีพรมแดนยาวกว่า 5,800 กิโลเมตรติดกับ 4 ประเทศ จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมได้

ในมิติทางเศรษฐกิจ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลกระทบโดยตรงต่อไทย เนื่องจากจีนคือคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด  ธนาคารโลกเคยวิเคราะห์ว่าหากเศรษฐกิจจีนหดตัวลง 1% เศรษฐกิจไทยจะลดลงราว 0.3-0.13%  ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าไทยยังคงพึ่งพาการส่งออกและนักท่องเที่ยวจากจีนอย่างหนัก ซึ่งเป็น "กับดักทางเศรษฐกิจ" ที่ต้องเร่งกระจายความเสี่ยง

ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศยังคงเป็นปัจจัยที่โลกจับตา  ความไม่ต่อเนื่องทางนโยบายทำให้การลงทุนจากต่างประเทศชะลอตัวลง นักลงทุนเริ่มหันไปพิจารณาประเทศที่มีความต่อเนื่องเชิงนโยบายที่ชัดเจนกว่า เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย  นี่คือสัญญาณเตือนที่ไทยต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นและสร้างเสถียรภาพภายในให้แข็งแกร่งพอจะรับแรงสั่นสะเทือนจากภายนอก

4. อนาคตแห่งการกำหนดเกม: การเปลี่ยนผ่านสู่ประเทศผู้สร้างคุณค่า

ตลอดการวิเคราะห์ที่ผ่านมา เราได้เห็นทั้งพลังและเงาความเสี่ยงของประเทศไทยในโลกที่เปลี่ยนไป  คำถามสุดท้ายที่เราต้องตอบให้ชัดเจนคือ ในวันข้างหน้า โลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไทยจะเลือกเป็นเพียง "ผู้ตามกระแส" หรือจะก้าวขึ้นเป็น "ผู้กำหนดทิศทาง" ของภูมิภาค

โลกในอีกทศวรรษข้างหน้ากำลังเข้าสู่ยุค "โลกหลายขั้ว" (Multipolar World) ที่ไม่มีประเทศใดสามารถครองอำนาจเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป  สหรัฐฯ ยังคงมีอิทธิพลทางการเงิน แต่จีนกำลังสร้างระบบเศรษฐกิจคู่ขนาน อินเดียก้าวขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจใหม่ในเอเชีย และรัสเซียยังคงเป็นตัวแปรทางพลังงานที่โลกต้องจับตา  อาเซียนในศตวรรษนี้จึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มหาอำนาจต่างเข้ามาชิงพื้นที่ เพราะมันคือ "ศูนย์กลางแห่งอนาคตโลก" ที่เชื่อมโยงทั้งเศรษฐกิจ ประชากร และพลังงาน

เมื่อเส้นทางโลจิสติกส์และพลังงานใหม่เริ่มก่อตัว จากอ่าวเบงกอลผ่านเมียนมา ลาว ไทย จนถึงทะเลจีนใต้ ประเทศที่สามารถควบคุม "จุดผ่าน" ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในระบบโลกใหม่ทันที  ไทยจึงมิได้เพียงแค่มีเล่ห์เหลี่ยมทางการทูต แต่มี "ยุทธศาสตร์เชิงลึก" ที่สามารถกำหนดดุลยภาพของภูมิภาคนี้ได้

อาวุธหลักในโลกอนาคตมิใช่ปืนใหญ่ แต่คือ เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และข้อมูล จีนเร่งขยายเครือข่ายเศรษฐกิจดิจิทัล ส่วนสหรัฐฯ เร่งสร้างพันธมิตรทางเทคโนโลยีเพื่อป้องกันอิทธิพลจีน ท่ามกลางสงครามนี้ ไทยมีข้อได้เปรียบที่หลายประเทศไม่มี นั่นคือ "ศิลปะแห่งความสมดุล"  ไทยสามารถร่วมมือกับจีนด้านโลจิสติกส์และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็ยังคงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรปในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ไทยกำลังถูกมองว่าเป็น "ประเทศสมดุลเชิงยุทธศาสตร์" ที่โลกต้องรักษาไว้

ทว่าการเป็นศูนย์กลางมิได้แปลว่าปลอดภัย มหาอำนาจกำลังยกระดับสงครามทางการค้า ไทยจึงต้องเดินอย่างระมัดระวังไม่ให้ตกเป็นเบี้ยบนกระดานของเกมใหญ่  ไทยมีศักยภาพสูงสุดในด้านโครงสร้างพื้นฐานและคลัสเตอร์อุตสาหกรรมในอาเซียน แต่ก็ต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์เพื่อไม่ให้ประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้า  เวียดนามกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อินโดนีเซียสร้างภาพลักษณ์ใหม่ มาเลเซียใช้บทบาททางศาสนาและพลังงานในการดึงดูดทุน

ดังนั้น ไทยจึงต้อง "นิยามตัวเองใหม่" มิใช่แค่ศูนย์กลางโลจิสติกส์หรือการผลิต แต่ต้องกลายเป็น "ศูนย์กลางนวัตกรรมและอิทธิพลทางวัฒนธรรม" ของภูมิภาค  นี่คือพลังที่เรียกว่า "Soft Power"  อาหาร ดนตรี ภาพยนตร์ และศิลปะร่วมสมัยของไทย กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างอิทธิพลแบบใหม่บนเวทีโลก  ไทยกำลังมุ่งเปลี่ยนจากประเทศ "ผู้ผลิตสินค้า" ไปเป็นประเทศ "ผู้ผลิตคุณค่า"  เมื่อเทคโนโลยีและวัฒนธรรมเดินคู่กัน ไทยจะสามารถสร้างอำนาจอ่อนที่ทรงพลังพอจะต่อรองกับมหาอำนาจได้ในระยะยาว

สิ่งสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดคือการสร้าง "เอกลักษณ์เชิงยุทธศาสตร์ของชาติ"  ประเทศไทยจำเป็นต้องมีทิศทางร่วมที่ชัดเจนว่า เราจะยืนอยู่ตรงไหนในระบบโลกใหม่ จะเป็นเพียงทางผ่านพลังงาน หรือจะเป็นผู้นำด้านวัฒนธรรมในอาเซียน ทุกเส้นทางมีค่า แต่ต้องเลือกเพียงหนึ่งเดียว เพราะ "การไม่เลือกคือการสูญเสียโอกาสทั้งหมด"

ในอีก 10 ปีข้างหน้า ไทยอาจกลายเป็นประเทศที่มหาอำนาจต้องเข้าหา เพื่อแลกกับเส้นทางพลังงาน เส้นทางดิจิทัล และอิทธิพลในภูมิภาค  แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไทยไม่สามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงในภูมิภาคของตนเองได้  ไทยมีพลัง มีทรัพยากร และมีจุดยุทธศาสตร์ที่หลายประเทศอิจฉา แต่สิ่งที่ขาดคือ "การมองระยะยาว" และ "ความเป็นหนึ่งเดียวของชาติ"  ถ้าเราสามารถรวมพลังภายในประเทศได้ เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม จะกลายเป็นสามเสาหลักที่พาไทยก้าวขึ้นสู่การกำหนดโลก  ศตวรรษนี้ไม่ได้เป็นของประเทศที่ใหญ่ที่สุด แต่เป็นของประเทศที่ "มองไกลที่สุด" และประเทศไทยยังมีโอกาสเป็นหนึ่งในนั้น

แหล่งอ้างอิง

  1. Mearsheimer, John J. (2014). The Tragedy of Great Power Politics. Updated Edition. W. W. Norton & Company.
  2. Hurrell, Andrew. (2007). On Global Order: Power, Values, and the Remaking of International Society. Oxford University Press.
  3. Jones, Lee. (2018). The Political Economy of Hedging in Southeast Asia. Asian Security, 14(1), 1-24.
  4. Nye, Joseph S. Jr. (2004). Soft Power: The Means to Success in World Politics. PublicAffairs.
  5. World Bank. (2023). A New Dawn: Southeast Asia's Path to Prosperity. Washington, D.C.: World Bank Publications.