Biz news

GITเปิดตัวยกระดับไทยสู่Hubอัญมณีโลก หนุนSMEsเข้าถึง3มาตรฐานรับค้าโลก



กรุงเทพฯ-สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เปิดตัวโครงการ “ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลกแบบยั่งยืน” (Thailand towards World Sustainable Gem and Jewelry Hub) เพื่อผลักดันผู้ประกอบการ SMEs ในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เข้าสู่มาตรฐานสากลด้านความยั่งยืนและธรรมาภิบาล รองรับกติกาการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลง พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางการผลิตที่ยั่งยืน” ของอุตสาหกรรมอัญมณีในระดับโลก ผ่านการพัฒนาอย่างรอบด้าน ทั้งตามมาตรฐานธรรมาภิบาลและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในระดับสากล

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบัน GIT กล่าวถึงอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมส่งออกชั้นนำ โดยตลาดอัญมณีและเครื่องประดับโลกในยุคปัจจุบัน ไม่ได้มองที่ความงามเพียงอย่างเดียว หากแต่ผู้บริโภคทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับ “มาตรฐาน ความโปร่งใส และความยั่งยืน” ที่ครอบคลุมถึงสิ่งแวดล้อม จนกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญของการค้าโลกในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ GIT จึงเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ “ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลกแบบยั่งยืน” โดยมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ทั้งด้านการผลิต การค้า และการบริหารจัดการธุรกิจ ให้สามารถยกระดับเข้าสู่มาตรฐานระดับสากล ผ่านกระบวนการอบรมเชิงลึก ให้คำปรึกษาแบบรายบริษัท และหลักสูตรเฉพาะด้านที่เน้นองค์ความรู้ด้านธรรมาภิบาล สิ่งแวดล้อมและคาร์บอนฟุตพรินต์ ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่เพียงสะท้อนบทบาทของ GIT ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมไทยให้เท่าทันโลก แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการผลักดันประเทศไทยให้เป็น ‘ศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับอย่างยั่งยืนในระดับโลก’ ได้อย่างแท้จริง”

สำหรับโครงการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลกแบบยั่งยืน เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากปี 2567 ที่เน้นมาตรฐาน RJC โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมในโครงการกว่า 300 ราย  และให้คำปรึกษาเชิงระบบกว่า 100 ราย อีกทั้งมีผู้ประกอบการที่ได้รับการประเมินความพร้อมในการเข้าสู่มาตรฐาน RJC ถึง 40 ราย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ชัดเจนว่า SMEs ไทยมีศักยภาพพร้อมสำหรับการแข่งขันระดับโลก หากได้รับโอกาส การสนับสนุน และการใช้เครื่องมือที่เหมาะสม

ในปีนี้ โครงการฯ ได้ขยายการเปิดรับสมัครการอบรมมาตรฐานแก่ผู้ประกอบการ SMEs สู่ 3 มาตรฐานหลัก ครอบคลุมในหลักธรรมาภิบาล ความยั่งยืน และสิ่งแวดล้อม  ได้แก่:

·GIT Standard 3001 มาตรฐานธรรมาภิบาลและความยั่งยืนของไทยที่ GIT พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยยกระดับกระบวนการผลิตและระบบคุณภาพให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และเสริมสร้างความมั่นใจในห่วงโซ่อุปทานให้กับผู้บริโภคทั่วโลก และต่อยอดสู่มาตรฐานสากล

·Responsible Jewellery Council (RJC) มาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับ โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม เน้นความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล

·Carbon Footprint for Organization (CFO) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมอัญมณีไทยในการมุ่งสู่การเป็นอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำโดยวัดผลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมตอบสนองเป้าหมาย SDGs ของประเทศ

นอกจากการพัฒนาองค์ความรู้ของผู้ประกอบการผ่านการอบรมมาตรฐานเชิงลึกแล้ว โครงการนี้ยังได้ถูกออกแบบให้เป็นระบบสนับสนุนแบบ “ครบวงจร” สำหรับผู้ประกอบการ SMEs โดยมีการให้คำปรึกษาแบบรายบริษัท (One-on-One) โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะแต่ละมาตรฐาน ได้รับการเข้าอบรมหลักสูตรกับบุคลากรชั้นนำ ได้รับการประเมินผลพร้อม Feedback และ Roadmap ที่นำไปสู่ความพร้อมในการขอรับรองมาตรฐานในระดับสากล นอกจากนี้ยังสนับสนุนการปรับภาพลักษณ์ธุรกิจให้สอดรับกับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความยั่งยืน ตลอดจนการเชื่อมโยงผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดโลก ผ่านเครือข่ายพันธมิตรของ GIT และผู้เล่นสำคัญในห่วงโซ่อุปทานระดับนานาชาติ โครงการนี้จึงไม่เพียงยกระดับอุตสาหกรรมอัญมณีไทยให้ “แข่งขันได้” อย่างยั่งยืน แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางการผลิตและการค้าอัญมณีระดับโลก” อย่างแท้จริง

นายสุเมธ ยังกล่าวเสริมอีกว่า “เรามองว่าโครงการในปีนี้ เป็นการยกระดับแบบก้าวกระโดด โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าสู่การพัฒนาอย่างรอบด้าน ทั้งด้านคุณภาพ ธรรมาภิบาล และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่มาตรฐานระดับนานาชาติ ทั้งในตลาดเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา”

ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ “ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลกแบบยั่งยืน” (Thailand towards World Sustainable Gem and Jewelry Hub) สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ถึง 19 ธันวาคม 2568