Think In Truth

ไทยโอนทองคำ50ตันสู่นครเซี่ยงไฮ้และ การสถาปนาศูนย์ถ่วงการเงินเอเชียใหม่ โดย... ฟอนต์ สีดำ



บทนำ: ปรากฏการณ์เงียบที่สั่นสะเทือนทวีป

ในห้วงเวลาที่ระบบการเงินโลกกำลังเผชิญความผันผวนอย่างที่มิเคยปรากฏมาก่อน ปรากฏการณ์หนึ่งได้เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบแต่ทรงพลัง นั่นคือการเคลื่อนย้ายทองคำสำรองจำนวนมหาศาลจากชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่ตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ระหว่างประเทศ (Shanghai Gold Exchange International: SGEI) การกระทำนี้มิใช่เพียงธุรกรรมทางการค้าหรือการเก็งกำไรระยะสั้น หากแต่เป็นสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนถึงการปรับเปลี่ยนระเบียบทางการเงินโลก โดยมีเอเชียเป็นศูนย์กลางใหม่

ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในขบวนการนี้ ด้วยการโอนทองคำหนัก 50 ตันเข้าสู่ระบบ SGEI อย่างเด็ดเดี่ยว  ตามด้วยกัมพูชา 54 ตัน และลาว 3 ตัน การรวมตัวของปริมาณทองคำมหาศาลเช่นนี้มิใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญ  ที่บ่งบอกว่ายุคสมัยแห่งการพึ่งพิงระบบการเงินตะวันตกแต่เพียงฝ่ายเดียวกำลังจะสิ้นสุดลง และสาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังสถาปนาตัวเองเป็นแกนหลักของระเบียบการเงินใหม่ในภูมิภาคบูรพา

การโอนทองคำเข้าสู่ตลาดเซี่ยงไฮ้จึงมิได้ส่งผลกระทบเพียงกลไกกำหนดราคาโลหะมีค่าเท่านั้น แต่ยังเป็น “การส่งสัญญาณเชิงลึก” ถึงการถ่ายโอนอำนาจทางการเงินบางส่วนสู่ระบบการเงินแห่งเอเชีย  ด้วยเหตุที่ SGEI มิใช่ตลาดทองคำทั่วไป หากแต่เป็นประตูสำคัญสู่ระบบเงินหยวน (RMB) ระดับโลก ซึ่งมีบทบาทในการตรึงราคาทองคำ สภาพคล่อง และการชำระหนี้ระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง  การที่ประเทศไทยเลือกเป็น “ผู้เล่นก้อนแรก” ในกลุ่มประเทศเอเชียใหม่นี้ ย่อมแสดงถึงวิสัยทัศน์อันเฉียบคมในการมองเห็นทางเลือกและความมั่นคงที่ระบบการเงินเดิมมิอาจตอบสนองได้อีกต่อไป

1. วิกฤตศรัทธาในระบบดอลลาร์และการผงาดของ SGEI

รากฐานของการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยและชาติเอเชียอื่น ๆ มาจากการประเมินสถานการณ์ของระบอบการเงินโลกที่กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรง  ความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงฉับพลัน และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไร้เสถียรภาพ เปรียบได้กับ “เรือที่กำลังโครงเครงกลางพายุ”  การผูกโยงอนาคตของชาติไว้กับระบบที่เปราะบางเช่นนี้จึงมิใช่ทางเลือกที่ยั่งยืน

ในบริบทแห่งความไม่แน่นอน “ทองคำ” จึงกลับมาทวงคืนสถานะความเป็น “ที่พึ่งอันมั่นคงที่สุดในทุกยุคสมัย”  จีนในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้อ่านเกมนี้อย่างลึกซึ้ง และดำเนินการสถาปนา SGEI ให้เป็น “คลังกลางของเอเชีย”  เมื่อทองคำจากชาติสำคัญในภูมิภาคหลั่งไหลเข้าสู่เซี่ยงไฮ้ มันจึงเป็นเสมือน “เสียงกลองประกาศศึก” ที่กึกก้องไปทั่วทวีป  บ่งชี้ว่าเอเชียกำลังมุ่งสู่ระบบการเงินที่พึ่งพาตนเองอย่างเต็มรูปแบบ และชาติใดที่ลังเลหรือเชื่องช้าในการตอบสนองต่อพลวัตนี้ ย่อมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การที่ประเทศไทยกล้า “เดินก่อน” และ “ข้ามเส้น” ก่อนชาติอื่น มิใช่การกระทำที่ปราศจากการไตร่ตรอง หากแต่เป็นการมองเห็น “โอกาสที่ผู้อื่นยังมองไม่เห็น”  เป็นการประกาศเจตนารมณ์ว่าประเทศไทยพร้อมเป็น “ผู้เล่นในสัตวรรษของเอเชีย”  การส่งทองคำ 50 ตันจึงเป็นเสมือนการปักหมุดหมายแรกบนโต๊ะเจรจาแห่งทวีปยุคใหม่  เพื่อมิให้ต้องตกอยู่ในสถานะของผู้ตาม หรือเสียที่นั่ง “หัวโต๊ะ” ให้แก่ชาติคู่แข่งในเอเชียที่กำลังจับตามองจีนเป็นแกนกลางทางการเงินใหม่

2. ยุทธศาสตร์ 50 ตัน – การได้เปรียบเชิงอำนาจต่อรอง

การเป็นชาติแรก ๆ ที่แสดงความเชื่อมั่นด้วยการโอนทองคำสำรองเข้าสู่ระบบการเงินใหม่ของจีน ย่อมนำมาซึ่ง “ความได้เปรียบอันมหาศาล”  ประเทศไทยย่อมได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมโต๊ะเจรจา ได้แต้มต่อในด้านการชำระเงิน และมีโอกาสในการ “จับคู่ระบบหยวน-บาท” ก่อนชาติอื่น  สิ่งเหล่านี้มิใช่เพียงผลประโยชน์เชิงตัวเลข แต่คือการได้รับความเชื่อมั่นทางการเมืองระหว่างประเทศกลับมาอย่างเต็มเปี่ยม

ในยุคสมัยที่โลกมิได้มอบโอกาสให้กับประเทศที่ “ลังเล ช้า หรือมัวแต่รอ”  การตัดสินใจที่กล้าหาญและเฉียบคมของไทยในครั้งนี้ จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถผงาดขึ้นเป็น:

  • ศูนย์กลางทองคำแห่งเอเชีย (Gold Hub)
  • ศูนย์กลางเงินหยวน (RMB Hub)
  • ศูนย์กลางธุรกรรมในกลุ่มอาเซียน (ASEAN Transaction Hub) 

การเคลื่อนไหวนี้จึงเป็นการ “ทวงตำแหน่ง” และแสดงให้ทั้งทวีปเห็นว่าประเทศไทยมิได้มีเจตนาที่จะอยู่เพียงในสถานะผู้ตามอีกต่อไป

3. การก่อร่าง “จักรวรรดิทองคำ” แห่งศตวรรษที่ 21

เบื้องหลังการรับทองคำเข้าสู่เซี่ยงไฮ้ จีนกำลังดำเนินการ “สร้างจักรวรรดิทองคำแห่งศตวรรษที่ 21” อย่างแยบยลและทรงพลัง  Shanghai Gold Exchange (SGE) มิใช่แค่ตลาดทองคำธรรมดา แต่เป็น “โรงไฟฟ้าพลังการเงินของเอเชีย” ที่จีนสร้างขึ้นเพื่อ “ท้าชน” กับศูนย์กลางทองคำดั้งเดิมอย่างลอนดอนและนิวยอร์กอย่างไม่เกรงกลัว

จีนตระหนักดีว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคทองคำอีกคำรบ” เนื่องจากความน่าเชื่อถือของเงินกระดาษกำลังลดลงอย่างน่าใจหาย  เพื่อตอบโจทย์ความไม่แน่นอนนี้ จีนจึงสร้าง “มาตรฐานใหม่”  โดยการต่อยอดจาก SGE สู่ SGEI ในเซินเจิ้นและฮ่องกง  ทำให้ทองคำสามารถไหลข้ามพรมแดนได้อย่างเสรี เป็นเสมือน “ท่อส่งน้ำเลี้ยง” ที่ดูดซับทองคำจากทั่วเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และรัสเซียเข้าสู่คลังของตน สิ่งที่จีนกำลังทำอย่างแตกต่างและท้าทายโลกตะวันตก คือการ “ตรึงค่าความมั่นคงของเงินหยวนด้วยทองคำจริง”  มิใช่ทองคำในกระดาษหรือทองคำเสมือน แต่เป็น “ทองคำที่ขนกันเป็นตัน ๆ” เข้าสู่โกดังจริง  สามเหลี่ยมทองคำใหม่ของโลกนี้ (เซี่ยงไฮ้-เซินเจิ้น-ฮ่องกง) กำลังถูกก่อสร้างขึ้น โดยทองคำ 50 ตันของไทยเป็นเสมือน “หินก้อนแรก” ของกำแพงนี้

เป้าหมายสูงสุดของจีนมิใช่เพียงการสะสมทองคำ แต่คือการ:

  1. สร้างมาตรฐานราคาทองคำโลกใหม่ (Pricing Standard)
  2. สร้างเสถียรภาพทางการเงินแห่งเอเชีย (Financial Stability)
  3. สร้างอำนาจในการควบคุมตลาดโลกในอนาคต (Market Control) 

ความแยบยลของจีนคือการดำเนินการอย่างเงียบเชียบและต่อเนื่อง จนทำให้ชาติอื่นต้องเร่งรีบเข้าสู่ระบบเพื่อมิให้ “เสียที่นั่งในอนาคต”  การที่ฮ่องกงเป็น “ประตูทองคำโลก” และอยู่ภายใต้การควบคุมของจีน ย่อมหมายความว่าจีนกำลังควบคุมราคาทองคำของเอเชียไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ  นี่คือการสร้าง “จักรวรรดิยุคใหม่” ที่ใช้ทองคำเป็นหัวใจหลัก  และประเทศไทยได้เลือกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

4. พลวัตของระบบ Gold + RMB + BRICS+

โลกที่เคยรู้จักในฐานะระบอบที่เงินดอลลาร์ครองอำนาจแต่เพียงผู้เดียวกำลังจางหายไป และสิ่งที่กำลังเข้ามาแทนที่คือ Gold + RMB + BRICS+”  ซึ่งเป็นระบบการเงินโลกใหม่ที่กำลังรวมร่างอย่างสมบูรณ์

เสาหลักของระบบใหม่:

  • ทองคำ (Gold): เป็น “ของจริง”  ที่สัมผัสได้ ไม่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ และเป็นของแข็งที่ใช้ป้องกันความเสี่ยงของประเทศได้อย่างแท้จริง  ในยุคที่เงินกระดาษไร้เสถียรภาพ ทองคำจึงเป็นสัญลักษณ์ของความน่าเชื่อถือที่ไม่โกหก 
  • เงินหยวน (RMB): จีนกำลังผลักดันให้ทองคำและเงินหยวน “จับคู่กัน” ได้อย่างลงตัว  โดยทองคำเท่ากับความมั่นคง และหยวนเท่ากับการค้าที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย  การรวมกันของสองสิ่งนี้จึงกลายเป็น “อาวุธทางการเงินระดับจักรวาล” 
  • BRICS+: การขยายตัวของกลุ่ม BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้) และสมาชิกใหม่จำนวนมาก  ได้กลายเป็นเวทีใหม่ของโลกที่อำนาจดอลลาร์ไม่สามารถชี้นำได้อย่างมั่วซั่ว  กลุ่มนี้กำลังหารือเรื่องสกุลเงินรวมที่หนุนหลังด้วยทองคำ และระบบการชำระเงินของตนเอง  ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้าง “SWIFT เวอร์ชันเอเชีย-ยูเรเชีย”

ประเทศไทยในฐานะผู้ขยับตัวก่อนด้วยทองคำ 50 ตัน  จึงได้รับ “บัตรผ่าน” ให้เข้าสู่โต๊ะเจรจาใหญ่ของเอเชียได้โดยไม่ต้องลังเล  การย้ายทองคำเข้าสู่ SGEI คือการประกาศตัวว่าไทยพร้อมที่จะเชื่อมโยงกับเงินหยวนและเป็นส่วนหนึ่งของระบบทองคำเอเชีย  นี่คือการย้าย “เสาถ่วงน้ำหนักอนาคตของชาติ” ไปยังจุดที่โลกกำลังมุ่งหน้าไป  หากโลกใช้ทองคำบวกหยวนเป็นฐาน และ BRICS+ ขยายตัว ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ใน “ตำแหน่งหัวใจของภูมิภาค”  ย่อมมีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางการค้าอาเซียนและจุดเชื่อมโยงสำคัญของระบบการชำระเงินใหม่

5. การปลดแอกผ่านระบบชำระเงิน – CIPS และ PromptPay

ในอดีต ระบบ SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication)  เป็นกลไกสำคัญที่กำหนดทิศทางการโอนเงินและการค้าระดับโลก หากประเทศใดถูกตัดขาดจากระบบนี้ ย่อมหมายถึงการถูก “ปิดประตูใส่หน้า” ทางการค้าทันที  ความกลัวที่จะถูก “ดึงปลั๊กไฟ” กลางดึกนี้เอง ที่เป็นแรงผลักดันให้จีนสร้างระบบทางเลือกของตนเองขึ้นมา นั่นคือ CIPS (Cross-border Interbank Payment System)  ซึ่งเปรียบได้กับ SWIFT เวอร์ชันจีน” ที่คล่องตัวกว่าและไม่มีใครมากดปุ่มปิดได้

การเชื่อมโยงระบบชำระเงินระหว่างไทยกับจีน โดยเฉพาะการผสานรวม PromptPay ของไทยกับ CIPS ของจีน  จึงเป็นมากกว่าเรื่องของเทคโนโลยี แต่คือ “การปลดแอกชาติจากการผูกขาด” ของมหาอำนาจตะวันตก  การเชื่อมต่อนี้เป็นการประกาศว่าประเทศไทยพร้อมใช้ “เส้นเลือดใหม่ของเศรษฐกิจเอเชีย”  ทำให้การค้าขนาดมหาศาลระหว่างสองประเทศ (มูลค่าหลายล้านล้านบาทต่อปี)  สามารถ:

  • เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น (ธุรกรรมเสร็จในไม่กี่วินาที) 
  • มีค่าใช้จ่ายถูกลง (ประหยัดค่าธรรมเนียมหลายหมื่นล้านบาท)
  • มีความปลอดภัยสูงขึ้น (ไม่ต้องผ่านดอลลาร์ และลดความเสี่ยงจากการถูกแทรกแซง) 

นี่คือ “อิสรภาพทางการเงิน” ที่แท้จริง  การที่ทองคำไทย 50 ตันถูกส่งเข้าสู่ระบบจีนก่อน ยิ่งทำให้ประเทศไทยมี “สิทธิ์พูดมากขึ้น มีน้ำหนักมากขึ้น”  บนโต๊ะเจรจาใหญ่ของเอเชีย โดยการเป็นผู้เล่นกลุ่มแรกที่ขยับตัวอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด

6. การผงาดของไทยในอาเซียน 2.0

การเคลื่อนไหวของทองคำจากไทย กัมพูชา และลาว มิใช่เพียงเหตุการณ์เฉพาะราย แต่เป็นการส่งสัญญาณถึง “อาเซียน 2.0” ที่กำลังกระโดดเข้าสู่ยุคใหม่ภายใต้การเชื่อมโยงกับระบบจีนอย่างเต็มกำลัง  นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ชาติในอาเซียนขยับตัวพร้อมเพรียงกันในทิศทางที่ “สวนทางกับระบบตะวันตก”  และประเทศไทยในฐานะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ขยับก่อน ย่อมถูกโลกจับตาเป็นพิเศษ

อาเซียนยุคใหม่กำลังเดินหน้าด้วย “โครงสร้างพลังจริงจัง” โดยมีเสาหลัก 3 ประการ ซึ่งประเทศไทยตั้งอยู่ ณ “จุดตัด” ของทั้งสามเสานี้:

  1. เสาทองคำ: เชื่อมเข้ากับ SGEI ทั้งกลุ่ม
  2. เสาการชำระเงิน: ไทย-จีน เริ่มต้นก่อน ชาติอื่นเตรียมตาม
  3. เสาพลังงานและความมั่นคง: อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และไทย เริ่มรวมบทบาท

การที่ประเทศไทยเป็น “หัวใจกลาง” ของระบบการเงิน การค้า และโลจิสติกส์ของภูมิภาค (ทั้งการค้า การขนส่งทางบก การทำธุรกรรม RMB) ทำให้ไทยมีสถานะเป็น Benchmark ที่ชาติเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์ต้องหันมามอง

ทองคำที่ถูกส่งเข้าไปใน SGEI คือ “ก้อนแรกของการสร้างทุนสำรองร่วมแบบไม่เป็นทางการ” ของอาเซียน  โดยมีจีนดูแลผ่าน SGEI นี่คือการก่อรูปของ “เครืออำนาจเอเชียใต้ล่าง”  โดยใช้:

  • จีนเป็นเสาหลัก
  • ไทยเป็นแกนกลาง
  • ทองคำเป็นปูนซีเมนต์เชื่อมชาติเข้าด้วยกัน

หากอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และเวียดนามเข้าสู่เกมทองคำ-จีนเมื่อใด  อาเซียนจะกลายเป็นภูมิภาคแรกของโลกที่ผูกระบอบการเงินเข้ากับทองคำและหยวนแบบกึ่งทางการ  ซึ่งจะส่งผลให้เสถียรภาพทางการเงินของภูมิภาคเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล อำนาจต่อรองระดับโลกเพิ่มขึ้นทวีคูณ โดยมีประเทศไทยทำหน้าที่เป็น “หัวรถไฟ” ที่ลากขบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด

7: ศึกมหาอำนาจในสังเวียนทองคำและตำแหน่งแห่งความได้เปรียบของไทย

เบื้องลึกของปรากฏการณ์นี้คือ “ศึกแย่งอำนาจผ่านทองคำ” ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นสงครามทางการเงินที่ร้อนแรงที่สุดในยุคปัจจุบัน ทองคำซึ่งดูเหมือนเป็นวัตถุที่เงียบที่สุด ได้กลายมาเป็น “อาวุธที่แรงที่สุด”  เพราะใครก็ตามที่ควบคุมทองคำ ย่อมควบคุมราคาสกุลเงิน และควบคุมอนาคตของการค้าโลก

จีนกำลังสร้าง “มาตรฐานราคาทองคำ” ของตนเองผ่าน SGEI  ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ หวาดกลัวที่สุด เพราะหากศูนย์กลางทองคำย้ายจากลอนดอน/นิวยอร์กมาสู่เซี่ยงไฮ้ ระบบดอลลาร์จะ “สะเทือนจนตั้งหลักไม่ทัน”  จีนรวบรวมทองคำจริง  ในขณะที่โลกตะวันตกถูกมองว่ามีแต่ “ทองคำกระดาษ”  การที่รัสเซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างพากันสะสมและส่งทองคำเข้าสู่ระบบจีน  เป็นหลักฐานชัดเจนของการ “ย้ายศูนย์ถ่วงทองคำครั้งใหญ่ที่สุดในศตวรรษ”

ประเทศไทยในฐานะ “ตัวแปรสำคัญ” ที่ย้ายทองคำชุดแรกเข้าสู่ระบบจีน  จึงถูกจับตามองจากทุกฝ่าย  ทำให้ประเทศไทยได้เข้าสู่สถานะใหม่ที่มี “พลังต่อรองสูงที่สุด”  ไทยมิได้เป็นเพียงผู้ตามอีกต่อไป แต่เป็น “ผู้มีสิทธิ์กำหนดเกม” ในเวทีเอเชีย  ยิ่งการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและระบบชำระเงินกับจีนก้าวหน้าไปมากเท่าใด อำนาจในการต่อรองของไทยก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น  ในศึกมหาอำนาจครั้งนี้ ประเทศไทยได้เลือกที่จะยืนอยู่ใน “ตำแหน่งที่ได้รับประโยชน์สูงสุด” โดยการเป็นจุดเชื่อมโยงที่มิอาจละเลยได้

บทสรุป: พลังไทยยุคใหม่และการขึ้นสู่ศูนย์กลางเอเชีย

การเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือบทสรุปของการก้าวเข้าสู่ “ยุคใหม่” ของประเทศไทย  เป็นยุคที่ไทยมิได้เป็นเพียงผู้ตาม หรือลูกไล่ของระบบเก่า แต่เป็น “หนึ่งในจุดศูนย์กลางของเอเชียอย่างเต็มสตีม”

  1. การโอนทองคำ 50 ตัน: คือการ “เปิดประตูใหญ่สุด” ในรอบหลายสิบปี  เป็นการย้ายพลังงานทางการเงินจากระบบตะวันตกไปสู่ระบบเอเชียที่ไทยมีพื้นที่ยืน  และเป็นการ “จองที่นั่งอันดับต้น ๆ” บนโต๊ะใหม่ของโลก 
  2. การเชื่อมต่อ PromptPay-CIPS: คือการ “ปลดล็อกอาณาจักรการค้าไทย-จีน”  ให้ไหลผ่านกันอย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยไม่ต้องพึ่งพาดอลลาร์หรือกลไกการแทรกแซงใด ๆ นำมาซึ่ง “อิสรภาพทางการเงิน” ที่แท้จริง
  3. ตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ใหม่: โลกกำลังมองไทยว่ามิใช่เพียงประเทศเล็ก ๆ ในมุมอาเซียน แต่เป็นประเทศที่ทำสามสิ่งสำคัญก่อนใคร  ซึ่งทำให้ไทยกลายเป็น “หัวเชื่อม” ของระบบเศรษฐกิจเอเชียยุคใหม่

ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ โดยเข้าสู่ยุคที่โลกใช้ “ทองคำ เงินดิจิทัล และเศรษฐกิจไร้ดอลลาร์”  และไทยมิใช่แค่เล่นตาม แต่ “ไทยเล่นนำ”  นี่คือช่วงเวลาที่ลูกหลานไทยจะได้เติบโตในโลกที่ประเทศมี “อำนาจต่อรองมากที่สุดในประวัติศาสตร์” การยืนยันสถานะในฐานะ:

  • ฮับทองคำแห่งเอเชีย (Asia Gold Hub)
  • ฮับการชำระเงิน RMB (RMB Settlement Hub)
  • ฮับเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub)
  • ฮับการค้าอาเซียน (ASEAN Trade Hub)

และเป็นหนึ่งในผู้กุมกุญแจของระบบการเงินโลกใหม่ การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ในครั้งนี้จึงเป็นการ “เปลี่ยนชะตากรรมของประเทศยกแพ็ค”  และเป็นการ “ลุกขึ้นยืนของแผ่นดิน”  อย่างสง่างามที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

แหล่งอ้างอิง

  1. ธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand). (2025). รายงานประจำปีและนโยบายการบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศและการปริวรรตเงินตราต่างประเทศ.
  2. People's Bank of China (PBOC) and CIPS Co., Ltd. (2025). Report on the Internationalization of the RMB and the Development of the Cross-border Interbank Payment System (CIPS).
  3. World Gold Council. (2025). The Role of Gold in Asian Markets and the Influence of the Shanghai Gold Exchange (SGE).
  4. International Monetary Fund (IMF). (2025). Quarterly Report on the Currency Composition of Official Foreign Exchange Reserves (COFER).
  5. ASEAN Secretariat. (2025). ASEAN Framework on Cross-Border Payments and Local Currency Settlement (LCS) Initiatives.
  6. Shanghai Gold Exchange International (SGEI). (2025). Annual Report on Gold Inflows and International Member Participation.
  7. BRICS Economic Research Institute. (2025). Perspectives on Gold-Backed Multilateral Currency Mechanisms.