In News

นายกฯชี้แก้'ปัญหาไทย-เขมร'ต้องยึด3ขา เดินหน้า3เรื่องรับมือไทยเป็นสังคมผู้สูงวัย



กรุงเทพฯ-นายกฯ อนุทิน ปาฐกถาพิเศษ “Change for the Future” ชูวิสัยทัศน์ “ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ”ขับเคลื่อนอนาคตประเทศ เพื่อผลลัพธ์แห่งความเจริญที่ยั่งยืนของประเทศไทย

วันนี้ 20 พฤศจิกายน 2568 เวลา 16.00 น. ณ ห้องฉัตราบอลรูม 1 – 2 โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ ถนนพระรามที่ 1 เขต ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “Change for the Future” ในงานสัมมนา “PRACHACHAT OUTLOOK THAILAND 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไทย พร้อมทั้ง นายปราปต์ บุนปาน กรรมการผู้จัดการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) นายวรศักดิ์ ประยูรศุข รองประธานบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการประชาชาติธุรกิจ ผู้บริหารเครือมติชน ภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชนและเจ้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานและพบปะพูดคุยในวันนี้เพื่อมองอนาคตของประเทศไทยร่วมกัน งานวันนี้เกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ มาเกี่ยวข้องกับนโยบายที่แต่ละประเทศได้กำหนด ซึ่งก็ต้องสอดคล้องกับกฎกติกาใหม่ของโลก ซึ่งตัวที่เป็นมาตรวัดสำคัญของโลกก็คือการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDG) โดยในช่วงระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมการประชุม ASEAN ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ประเทศเกาหลีใต้ และล่าสุดได้เดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสิ่งที่ประเทศไทยได้กลับมาได้ก่อประโยชน์ให้กับประเทศไทยอย่างมากมาย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หัวข้อในการจัดงานครั้งนี้ "ปรับ เปลี่ยน และไปต่อ" เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน เมื่อเราเดินหน้าต่อไปในทุกวัน มีการปรับและเปลี่ยน สิ่งนี้จะทำให้เราเดินไปได้ต่อ ไม่มีวันหยุดนิ่งและไปในจังหวะเดียวกันกับสถานการณ์ต่าง ๆ ของโลกที่ไม่อยู่นิ่งเช่นกัน และจากการไปร่วมประชุม และพบปะผู้นำประเทศ ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเราได้ใช้เวทีในการประชุมทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี ให้ประเทศไทยได้กลับเข้ามาอยู่ในความสนใจ (เรดาร์) ของหลาย ๆ ประเทศอีกครั้ง แต่ด้วยทรัพยากรของโลกที่ลดน้อยถอยลง ทรัพยากรบุคคลที่มีจำกัด มีการหันไปพึ่งพานำเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ AI  เข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานที่เคยเป็นของมนุษย์ ดังนั้น ภูมิรัฐศาสตร์ เป็นสิ่งที่กำหนดกติกาใหม่ของโลกหรือ new world order

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ในเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์โลกนั้น บางคนได้ยิน ก็กังวลถึงขั้นว่า จะมีสงครามเลยหรือไม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่คิดอย่างนั้น วันนี้ทุกประเทศ ไม่มีใครอยากเดินถอยหลังกลับไปสู่ยุคเดิม ๆ ที่จะใช้อาวุธมาสู้รบกัน และจะใช้วิธีการเจรจาทางการทูตเพิ่มมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องแสดงให้เห็นว่าหากมีการล้ำเส้นขึ้นมาก็จะมีมาตรการขั้นต่อไป โดยขอย้ำว่า ประเทศไทยจะไม่มีการสูญเสียพื้นที่หรือรบแพ้แต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ จึงมีมิติที่ซับซ้อนมากกว่าแค่การแข่งขันแสนยานุภาพทางความมั่นคง แต่เป็นเรื่องของการวัดอิทธิพลกันในด้านต่างๆ ใครจะมีบทบาทนำ ในเรื่องสำคัญ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้า การขนส่ง การได้มาซึ่งทรัพยากรและการรักษาทรัพยากรเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่สิ่งที่ระบุถึงอิทธิพลหรือภูมิรัฐศาสตร์นั้น คือเราจะต้องหาจุดแข็งของประเทศไทย แสดงออกต่อบนเวทีโลก ซึ่งจุดแข็งของประเทศไทยที่ขาดไม่ได้คือ เช่น Health Care หรือ Medical Tourism สิ่งที่ประเทศไทยขายได้คือ Care เป็นหนึ่งเดียวของโลก ไม่มีระบบไหนที่แข็งแรงเท่าระบบสาธารณสุขของไทย เช่น โครงการล่าสุดอย่างโครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า" เพื่อเป็นทางเลือกของผู้ป่วยในการไปซื้อยาที่ร้านยาทั่วไปได้ เป็นการกระจายรายได้ และรวมถึงด้านการท่องเที่ยว พลังงานสะอาด ที่ผลคือ วิน-วิน โลกในวันนี้ เราอยู่ร่วมกันด้วยคำว่า “ประสานประโยชน์” ไม่มีคำว่า Winner takes all ไม่มี Zero-sum game ประเทศเราก็ดำรงตนให้เป็น “พันธมิตรที่ไม่ผูกขาด” หรือจะเรียกว่าเป็น “Friends with Benefit” ก็ได้ คือผลประโยชน์ลงตัวตรงไหนก็จับมือกัน ตรงไหนไม่ลงตัวก็ไปลงตัวกับคนอื่น ไม่ว่ากัน ยกตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ได้ไปลงนามเอ็มโอยู เพื่อศึกษาพัฒนาแร่สำคัญ หรือที่เรียกกันว่า rare earth เพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการพัฒนาแหล่งแร่ต่อไป

ดังนั้น ในความเป็นจริงในทางภูมิรัฐศาสตร์นั้นการแข่งขันที่เกิดขึ้นจึงเป็นการแข่งขันทางสติปัญญา เป็นการเดินเกม เดินยุทธศาสตร์ ให้ประเทศของตนได้ประโยชน์สูงสุด บนความเข้าใจกันว่าทุกประเทศ ก็ต้องคิดแบบนี้เช่นเดียวกัน การจะอยู่ร่วมกันได้ จึงต้องประสานประโยชน์ และเคารพซึ่งกันและกัน ถ้าตั้งเป้าหมายถูก กำหนดยุทธศาสตร์ถูก ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ ความเจริญที่ยั่งยืนของประเทศ

นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาก็เช่นกัน เมื่อเอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้งการกำหนดทิศทางไม่ยาก แนวทางของเราในตอนนี้ก็คือ ไม่ว่าจะทำอะไรต้องรักษาผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะทางความมั่นคง เศรษฐกิจ หรือการต่างประเทศ สามขานี้ต้องอยู่ครบ ประเทศไทยไม่มีคำว่าเสียเปรียบ

วันนี้ต้องบอกว่า “เศรษฐกิจไทยกำลังเดินบนถนนเส้นใหม่” การค้าการลงทุนยังเผชิญข้อจำกัดจากขีดความสามารถการแข่งขัน หนี้ครัวเรือนที่ยังสูง โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัยแบบเต็มรูปแบบและแรงกดดันจากเศรษฐกิจดิจิทัลที่เปลี่ยนเร็วเกินกว่าที่ระบบเดิมจะรองรับได้ เศรษฐกิจไทยต้องพร้อมสำหรับการแข่งขันรูปแบบใหม่ พร้อมในที่นี้ก็คือ คนพร้อม ทรัพยากรพร้อม และกฎระเบียบ ที่พร้อม ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งพร่องไปก็จะเป็นตัวฉุดรั้งความเจริญ การปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปพลังงาน และปฏิรูปกฎหมาย จึงเป็นหน้าที่สำคัญของรัฐ ในช่วงเวลาแบบนี้ ซึ่งมีเวลาจำกัด อาจจะทำถึงขั้นปฏิรูปไม่ได้ แต่ทุกอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ ก็คือไปในทิศทางนั้น และปูทางสำหรับการบริหารต่อเนื่อง ที่จะต้องเปลี่ยนประเทศให้พร้อมสำหรับอนาคต

ในรัฐบาลนี้ เราจึงพูดคำว่า Up-skill และ Re-skill บ่อยมาก และทุกกระทรวงต้องมีบทบาทในการสร้างคน ซึ่งก็พยายามสร้างทักษะดิจิทัล และ AI สำหรับคนทุกช่วงวัย มีการไปดีลกับ Google เพื่อให้เด็กไทยและคนไทย ได้ใช้ AI แบบพรีเมียมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มันคือการเปิดประตูสู่อีกระดับของการเรียนรู้ และการทำงานแบบมีตัวช่วยอย่างชาญฉลาด แม้แต่กระทรวงการคลัง ก็ยังช่วยสร้างคน โครงการคนละครึ่งพลัส คำว่า “พลัส” นั้น คือการพัฒนาผู้ประกอบการ ให้เข้าสู่เทคโนโลยีดิจิทัล โอกาสทางเศรษฐกิจเหล่านี้ ต้องไม่ใช่โอกาสของบริษัทใหญ่เท่านั้น แต่ต้องเป็นโอกาสของ SME ทุกจังหวัด และทุกครัวเรือนของไทย ประเทศที่จะชนะในยุค AI คือประเทศที่ “คนทั้งสังคมเรียนรู้ และปรับตัวได้เร็วที่สุด” นั่นคือเป้าหมายในการสร้างคนของรัฐบาลชุดนี้  อย่างไรก็ดี ในขณะที่เรากำลังรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ในการสร้างทักษะใหม่ๆ ของคนเราก็มีอีกปัญหา คือ ปัญหาใน “การสร้างคน” คือเรามีเด็กเกิดน้อยลงมาก ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบแล้ว รัฐบาลจึงต้องเดินหน้า 3 เรื่องสำคัญ คือ 

1.การขยายอายุเกษียณ เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถ ในการทำงานของคนยุคใหม่ 
2.การพัฒนาระบบสาธารณสุขที่สามารถรองรับการดูแล ระยะยาว ทั้งผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง และบริการเชิงป้องกัน 
3.การยกระดับทักษะแรงงานสูงวัย ผ่านระบบเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้ผู้สูงอายุยังมีบทบาทในเศรษฐกิจและสังคม โดยนายกรัฐมนตรีมองเห็นว่าประเทศไทยสามารถเป็น “ฮับ” สำหรับการให้บริการผู้สูงวัยในอนาคตอันใกล้ ที่ไทยมีทั้งพื้นฐานทางวัฒนธรรม สาธารณสุข และการให้บริการที่พร้อมมากสำหรับอุตสาหกรรมนี้

“ทั้งหมดนี้คือ “ความเปลี่ยนแปลง” ที่จะกำหนดอนาคตของประเทศไทย ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ปี 2026 จะเป็นปีที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจเพื่อความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต้องขอขอบคุณ “ประชาชาติธุรกิจ” ที่จัดเวทีในวันนี้ขึ้นและเปิดโอกาสให้เราได้มาคุยกันในเรื่องเหล่านี้ เพราะความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ต้องทำไปด้วยกัน ทั้งองคาพยพ” นายกรัฐมนตรี กล่าว