Think In Truth

นักวิชาการมธ.หนุนรัฐเร่งปิดดีลFTA แนะ มอง‘UAE’โอกาสใหม่ดันเศรษฐกิจไทย



นักวิชาการธรรมศาสตร์ หนุนรัฐบาลลุยปิดดีล FTA นานาประเทศ เพื่อกระจายตลาด-ลดพึ่งพาการค้าสหรัฐฯ เผย “FTA ไทย-แคนาดา” เป็นโอกาส เพราะปัจจุบันส่งออกยังไม่ถึง 1% แต่ต้องระวังความซ้ำซ้อนกับเงื่อนไขของ “FTA อาเซียน-แคนาดา” ด้วย เช่นเดียวกับ “ชิลี-เปรู” ที่ห่วงประเด็นเดียวกัน พร้อมชวน “พาณิชย์” มองไปที่ UAE โอกาสใหม่ ขณะที่ “คนละครึ่งพลัสเฟส 2” ดี แต่กระตุ้นบริโภคได้เพียงระยะสั้น ถ้าจะยั่งยืนต้องบูม “ท่องเที่ยว” ดึง นนท.จีนกลับมา  

รศ. ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์ประจำศูนย์วิจัยความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนา (ICDS) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า การกระจายตลาดใหม่ๆ ผ่านการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ เพื่อลดการพึ่งพาทางการค้าจากสหรัฐอเมริกามากเกินไป ถือเป็นทิศทางที่ดีต่อภาพรวมการส่งออกไทย ซึ่งนับตั้งแต่มีสงครามทางการค้า พบว่าประเทศไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาสูงขึ้นถึง 18% ส่วนตัวจึงเห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ ที่เดินหน้าปิดดีล FTA ไทย-แคนาดา, ไทย-อียู และไทย-เกาหลีใต้

นอกจากนี้ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ก็ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตามอง เพราะ UAE มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่เติบโตได้ค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และการนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาเรื่องอุตสาหกรรมด้านอาหาร UAE ส่วนตัวคิดว่าเป็นโอกาสของไทยที่จะเข้าไปร่วมทำข้อตกลงทางการค้าด้วยเช่นกัน

สำหรับแคนาดาถือที่รัฐบาลไทยกำลังเดินหน้าปิดดีลนั้น เป็นประเทศที่ไทยมีโอกาสขยายตลาด เพราะมูลค่าการส่งออกสินค้าทุกประเภทในภาพรวมไปยังแคนาดานั้นถือว่าต่ำมาก คือน้อยกว่า 1% โดยสินค้าประเภทอุตสาหกรรม อยู่ที่ 0.6% ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ยางและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนประเภทสินค้าเกษตร อยู่ที่ 1.5% ถือว่ามากกว่าค่าเฉลี่ยในภาพรวม ได้แก่ ข้าว อาหารทะเล และอาหารทะเลแปรรูป เช่น ทูน่า กุ้ง ปลาหมึก ลูกชิ้นกุ้ง รวมไปถึงไก่แปรรูป ดังนั้น ด้วยสัดส่วนที่ยังมีช่องว่างอีกมากจึงเป็นโอกาสของไทยที่จะขยายส่วนแบ่งของตลาดให้กว้างขึ้น

อย่างไรก็ตาม การเจรจา FTA ไทย-แคนาดา ยังมีจุดที่น่าสังเกตและควรระวังอยู่ เพราะขณะนี้อาเซียนก็อยู่ระหว่างการทำ FTA กับแคนาดาเช่นกัน โดยมีการเจรจามาแล้วหลายรอบ และเท่าที่ทราบตอนนี้ได้มีการตกลงกันไปในหลายๆ หัวข้อ เช่น กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่มีการตกลงกันไปในหลายระดับ และตั้งใจจะสรุปการเจรจานี้กันภายในปี 2026 ดังนั้นหากไทย-แคนาดาจะเจรจา FTA กันโดยตรงแบบทวิภาคี คำถามคือเงื่อนไขหรือข้อตกลงอะไรที่จะแตกต่างกับ FTA อาเซียน-แคนาดา ซึ่งเป็นแบบพหุภาคี

“เพราะหากเงื่อนไงซ้ำซ้อน หรือ FTA อาเซียน-แคนาดา สร้างความน่าสนใจได้มากกว่า ผู้ประกอบการจะหันไปใช้ FTA อาเซียน-แคนาดา แทน ตรงนี้จะทำให้ทรัพยากรที่ทุ่มเทไปเป็นเวลานานในการสร้าง FTA ไทย-แคนาดา สูญเปล่า ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วใน FTA อาเซียน-ญี่ปุ่น หรือ AJCEP กับ FTA ไทย-ญี่ปุ่น หรือ JTEPA ซึ่งท้ายที่สุดผู้ประกอบการมีการใช้ AJCEP น้อยมาก เพราะเงื่อนไขหลายอย่างสู้ JTEPA ไม่ได้ หรือระหว่าง FTA ไทย-อินเดีย กับ FTA อาเซียน-อินเดีย ซึ่งผู้ประกอบการใช้ FTA อาเซียน-อินเดีย เกือบทั้งหมด ” รศ. ดร.จุฑาทิพย์ กล่าว

นอกจากนี้ ในประเทศอื่นๆ ที่กระทรวงพาณิชย์ให้ความสนใจในการทำ FTA เพิ่มเติม เช่น ชิลี และ เปรู ก็มีความเหมาะสมและมีเงื่อนไขเดียวกัน เพราะขณะนี้ ชิลีกำลังจะเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และเปรูที่มีการทำกรอบความร่วมมือกับอาเซียนในลักษณะความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาระหว่างอาเซียน-เปรู ดังนั้นหากไทยต้องการทำ FTA กับชิลี และเพิ่มความสัมพันธ์กับเปรูใน FTA ไทย-เปรู ก็จะต้องคำนึงว่า จะมีเงื่อนไขข้อตกลงอย่างไรให้มีความแตกต่างกับ RCEP และกรอบความตกลงหุ้นส่วนที่ ASEAN ดำเนินการอยู่ในส่วนของเปรู

นักวิชาการธรรมศาสตร์ ยังกล่าวถึงโครงการ "คนละครึ่งพลัสเฟส 2" ที่กำลังจะมีการนำเสนอรายละเอียดเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงเดือน ธ.ค. นี้ และคาดว่าจะเริ่มใช้กันในเดือน ม.ค. 2569 ตอนหนึ่งว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการบริโภคด้วยมาตรการที่กล่าวมาข้างต้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ทำได้ในระยะสั้นเท่านั้น เพราะหากพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทส (จีดีพี) ไตรมาส 3 ที่สภาพัฒน์เพิ่งประกาศออกมา จะเห็นว่าการบริโภคไม่ใช่ปัญหาหลัก จนต้องมีมาตรการออกมาเพื่อให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทว่าสิ่งที่มีส่วนผลต่อจีดีพีอย่างมากคือการท่องเที่ยว และการลงทุนการบริโภคภาครัฐซึ่งยังน้อยอยู่ จนทำให้จีดีพีของไทยในไตรมาสนี้โตแค่ 1.2%

“หากมองในส่วนของอุปสงค์ (Demand) จะเห็นว่าตัวฉุดรั้งหลักคือการท่องเที่ยว ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญกับฟื้นคืนการท่องเที่ยวให้กลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะการนำนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย และถ้ามองทางด้านอุปทาน (supply) ภาคอุตสาหกรรมยังไม่ฟื้นตัวสะท้อนการลงทุนภาคเอกชนถึงแม้ฟื้นตัวแต่ยังน้อยเกินไป” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว