In News

นายกฯแนะทำงบฯปี70ขอเพิ่มไม่เกิน20% วาง5ด้านการใช้งบ/จัดอีเวนพื้นที่อุทกภัย



กรุงเทพฯ-นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณปี 2570 มุ่งสร้างสมดุลระหว่าง “พัฒนาเศรษฐกิจ - ดูแลสังคม –รักษาวินัยการคลัง”ย้ำการพิจารณาจัดทำคำขอฯ ไม่ควรเกินร้อยละ 20 หนุนภาครัฐ-เอกชน จัดประชุม/Event ในพื้นที่ที่เคยเกิดอุทกภัย

วันนี้ (1 ธ.ค. 68) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย 

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสสำคัญในการมอบนโยบายเพื่อจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 เพื่อให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ ทั้งการจัดการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน และการวางรากฐานสำคัญสำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้กำหนดนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2570 โดยยึดแนวทางจากแผนการคลังระยะปานกลาง (ปี 2570 – 2573) ซึ่งในปีนี้แม้จะยังเป็นงบประมาณแบบขาดดุล แต่รัฐบาลตั้งใจลดการขาดดุลงบประมาณลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในอนาคต และรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม โดยอยู่บนหลักการรักษาวินัยการเงินการคลัง รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ 

ปีงบประมาณ 2570 เป็นปีที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคมสูงวัย ความเหลื่อมล้ำ ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนที่ทำให้ต้องใช้งบประมาณเพื่อการปรับตัว ป้องกันภัยพิบัติ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันภาครัฐต้องปรับตัวให้ทันสมัย โดยการนำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพ มีการติดตามและประเมินผล เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณโปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยงบประมาณปี 2570 จะต้องตอบโจทย์ได้ครบ สร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การดูแลสังคม และการรักษาวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด รัฐบาลได้กำหนดนโยบายสำคัญที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศ ออกเป็น 5 ด้าน ดังนี้

1. ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลจะดำเนินมาตรการให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเป็นระบบ โดยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้น ควบคู่กับการวางรากฐานเศรษฐกิจในระยะยาว ตามนโยบาย “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” หรือ Quick Big Win ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการเติบโตในช่วงไตรมาสที่ 4 ได้แก่ การกระตุ้นกำลังซื้อ โดยเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง พลัส โครงการเที่ยวดีมีคืน การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการในการลดภาระหนี้ภาคประชาชนผ่านโครงการแก้หนี้ครัวเรือน การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันแก่ SMEs ควบคู่กับการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงการสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ มาตรการเหล่านี้เป็นการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ และลดรายจ่ายให้กับประชาชน รวมถึงเปิดโอกาสให้สามารถรักษาระดับการจ้างงานได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับการลงทุนเพื่ออนาคต มีการสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ด้านความยั่งยืน เพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจไทยให้เติบโตบนเส้นทาง “เศรษฐกิจสีเขียว” รัฐบาลจะบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ยกระดับเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรที่ทันสมัย มีการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อลดข้อจำกัดการส่งออก เพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกร

การท่องเที่ยว เป็นอีกนโยบายสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ สำหรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว คือ โครงการเที่ยวดีมีคืน เพื่อกระจายเม็ดเงินสู่พื้นที่ท้องถิ่น ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะเมืองรองทั่วประเทศ

ด้านการต่างประเทศ รัฐบาลกำลังเร่งเจรจาเพื่อจัดการแก้ไขผลกระทบจากสงครามการค้า รวมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ให้แล้วเสร็จในปี 2573 ทั้งนี้ OECD เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าให้ดียิ่งขึ้น เมื่อไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD แล้ว ก็จะสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น

ภาคอุตสาหกรรม เป็นอีกฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี รัฐบาลจะสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนการใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ทักษะทั้ง Reskill และ Upskill เพื่อปรับตัวให้ทันกับการแข่งขันและยกระดับธุรกิจ สำหรับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะมีการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล AI Data Center Semiconductor EV พลังงานสะอาด รวมทั้งผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียวที่มีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับในระดับสากล

2. ด้านความมั่นคง รัฐบาลมุ่งเน้นแนวทางสันติวิธี ในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก

3. ด้านสังคม จะจัดการกับปัญหาเร่งด่วนอย่าง Scammer หรือการหลอกลวงทางเทคโนโลยี การพนัน ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งการแก้ปัญหาการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพวกพ้อง ยึดหลักนิติธรรมและความโปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน

4. ภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม เป็นประจำ รวมทั้งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ต้องใช้แนวทางป้องกันก่อนเกิดเหตุ และต้องเร่งเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบภัย ให้กลับสู่วิถีชีวิตปกติโดยเร็ว

“อย่างที่ทุกท่านทราบกันดี ผมได้ลงพื้นที่น้ำท่วมหลายครั้ง ได้เห็นสภาพปัญหา ปีนี้ประชาชนเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมที่หนักหนาสาหัสจริง ๆ เรื่องการเยียวยา ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยด่วนที่สุด ให้มีความครอบคลุมและทั่วถึง หากหน่วยงานใด ทั้งภาครัฐและเอกชน จะมีการจัดการประชุมหรือจัดงาน event ต่างๆ ขอให้เลือกไปจัดงานในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยเพื่อให้เม็ดเงินไหลเวียนเข้าสู่พื้นที่ให้มากที่สุด”

นอกจากนี้ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของทุกประเทศ โดยผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็น 0 ภายในปี 2593 ด้วยการดำเนินมาตรการ ลดการเผาในภาคการเกษตร สร้างความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริม การใช้พลังงานสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์ และจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากล

5. ด้านการบริหารภาครัฐ ปฏิรูปกฎหมาย มุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล การให้บริการต่าง ๆ ต้องมีความสะดวก รวดเร็ว มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส อำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนและประชาชน รวมทั้งปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิก กฎหมาย กฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นอกเหนือจากนโยบาย 5 ด้าน ดังกล่าวแล้ว รัฐบาลให้ความสำคัญกับการวางรากฐานของประเทศ ซึ่งเป็นการลงทุนกับอนาคตในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า รากฐานที่สำคัญที่สุด คือ “คนไทยคุณภาพ” เราจะต้องเร่งพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกคน โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ที่ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ที่ผ่านมา พูดเรื่องการปฏิรูปการศึกษามานาน ต้องไม่คิดเพียงการศึกษาในห้องเรียนอีกต่อไป แต่ต้องสร้างระบบที่จะพัฒนาศักยภาพคนไทยได้ตลอดช่วงชีวิต ประเทศต้องมีกลยุทธ์ และกลไกที่ชัดเจน เชื่อมการเรียนรู้เข้ากับอาชีพ รายได้ และอนาคตที่มั่นคง พร้อมลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ ทั้งด้านคุณภาพการศึกษา มาตรฐานสถานศึกษา และโอกาสในการเข้าถึงของคนไทยทุกกลุ่ม

ระบบสุขภาพของประเทศไทย ได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติว่าเป็นระบบที่ดี ทั่วถึง และเท่าเทียม เป็นไปด้วยคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพ รัฐบาลจะให้การสนับสนุนและส่งเสริมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการระดับปฐมภูมิ การใช้เทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวก การยกระดับการดูแลสุขภาพเชิงรุก การป้องกันและจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี การจัดระบบดูแลผู้สูงอายุรองรับสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ และที่สำคัญการส่งเสริมการตั้งท้องและการเกิดคุณภาพ เพื่อเป็นกำลังของประเทศในอนาคต

 “รัฐบาลจะส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคให้รองรับกับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ให้เชื่อมโยงกันทั้งทางอากาศ ราง ถนน และทางน้ำ อีกทั้งยังสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทดแทน และนวัตกรรมประหยัดพลังงาน รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ด้านดิจิทัลที่มีคุณภาพ ครอบคลุม เพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง” 

การดำเนินการดังกล่าวข้างต้นได้ถูกกำหนดไว้โดยละเอียดในยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ครอบคลุมทุกประเด็น ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานทางการคลัง เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืน มุ่งส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Pro-Growth Budget Initiative) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนวิธีการดำเนินงานในด้านต่างๆ ให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่าย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัจจุบันนี้รัฐบาลเผชิญกับปัญหาในทั้ง 4 ด้าน คือ เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และภัยธรรมชาติ ซึ่งการแก้ไขปัญหาภัยทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ดำเนินไปแล้ว เช่น นโยบายที่เกี่ยวข้องกับ Quick Big Win เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เรียกความผาสุกของประชาชนกลับคืนมา ส่วนภัยทางด้านความมั่นคงนั้น รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนด้านความมั่นคง ปกป้องอธิปไตยของประเทศ แม้หากจะต้องสู้ ก็จะต้องชนะอย่างเดียว รวมทั้งปัญหาจากภัยยาเสพติดและปัญหาจากสแกมเมอร์ ตลอดจนภัยจากธรรมชาติ ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่ขอรับงบประมาณช่วยนำภัยทั้ง 4 ไปพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณให้สอดรับทั้งใกล้และไกลด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มว่า เนื่องจากสถานการณ์ภาคการคลังของประเทศไทยส่งสัญญาณเตือนหลายด้าน สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 17 ในปี 2536 เหลือร้อยละ 15 โดยประมาณในปี 2568 ในขณะที่สัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยรายจ่ายประจำมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 70-80 ของภาพรวมรายจ่ายรัฐบาล ดังนั้น รัฐบาลจึงมุ่งเน้นฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง พ.ศ. 2570 – 2573 โดยได้กำหนดเป้าหมายที่จะปรับลดการขาดดุลงบประมาณไม่เกินร้อยละ 3 ของ GDP ภายในปีงบประมาณ 2572 และควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะให้ไม่เกิน 70% ต่อ GDP จึงขอให้ช่วยกันบริหารการใช้จ่ายงบประมาณ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องเจอวิกฤติการเงินการคลังในอนาคต ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ได้กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้จำนวน 3.788 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปี 2569 เพียง 7,400 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 ในขณะที่ยังมีภาระค่าใช้จ่ายผูกพัน และรายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายจำนวนมาก

“ในการขอรับการจัดสรรงบประมาณ ขอให้ทุกหน่วยงานพิจารณาจัดทำคำขอฯ ให้มีประสิทธิภาพและไม่ควรเพิ่มขึ้นเกินร้อยละ 20 ของ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2569 โดยส่วนที่เพิ่มขึ้นควรเป็นรายจ่ายลงทุน และต้องไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจำที่เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ด้วยข้อจำกัดของวงเงินงบประมาณ ขอให้ร่วมมือกันปรับเปลี่ยนการทำงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทรัพยากรที่จำกัด การใช้งบประมาณต้องมีความโปร่งใส คุ้มค่า และต้องเกิด ประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน”

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า เนื่องจากรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นสูงมาก ขอให้เข้มงวดรายจ่ายประจำให้ขอเฉพาะเท่าที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ต้องช่วยกันเพิ่มประสิทธิภาพ จะได้มีเม็ดเงินเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ขอให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาการใช้จ่ายจากแหล่งเงินอื่นที่สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย เพื่อลดภาระงบประมาณในอนาคต เช่น เงินกู้ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) หรือสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินโครงการในอนาคต รวมทั้งพิจารณาใช้จ่ายจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFFIF) และให้ทุกหน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณ พิจารณานำเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ และเงินสะสม มาใช้ในการดำเนินภารกิจก่อนเป็นลำดับแรก

ท้ายนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลจะยึดหลักการสำคัญ 3 ประการในการทำงาน คือ 1. พิทักษ์ รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2. ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ 3. ยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการบริหารราชการ บนหลักธรรมาภิบาล นายกรัฐมนตรีหวังว่าจะร่วมมือกันทำภารกิจสำคัญนี้ให้สำเร็จลุล่วง เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป