EDU Research & Innovation

สิ้นลายวายร้ายแห่งลุ่มน้ำนศ.ราชภัฏรำไพ ทำเมนูเด็ด!น้ำพริกปลาหมอคางดำ



จันทบุรี-วันที่ 10 ธันวาคม 2568   เวลา  09.00 น.  ณ ศาลากลางบ้านบ้านช้างข้าม  หมู่ที่ 5 ตำบลช้างข้าม  อำเภอนายายอาม  จังหวัดจันทบุรี  โดยวันนี้นายอำนาจ  มาลีวรรณ์  ผู้ใหญ่บ้าน  และคณะกรรมการหมู่บ้าน   ได้เรียกประชุมใหญ่ประจำปี 2568  ของสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน  กลุ่มสัจจะออมทรัพย์เพื่อการผลิต  ซึ่งมีชาวบ้านในเขตหมู่ที่ 5  บ้านช้างข้าม  ชาวบ้านมาเป็นจำนวนมาก  ซึ่งเป็นโอกาสดีที่  นักศึกษาคณะมนุษศาสตร์  สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรำไพพรรณี จันทบุรี  ซึ่งเป็นกลุ่มศึกษาและวิจัยหมอคางดำ และวันนี้ คณะนักศึกษาสาขารัฐศาสตร์  ได้นำน้ำพริกปลาหมอข้างดำ  นำมาแจกกับพี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมประชุมใหญ่  ที่ศาลาหมู่บ้านบ้านช้างข้ามแห่งนี้  ซึ่งนักศึกษากลุ่มนี้  ก็ได้จัดทำน้ำพริกปลาหมอคางดำ  นำมาแจกให้พี่น้องประชาชน เอากลับไปรับประทานกับข้าวที่บ้าน  ซึ่งการทำน้ำพริกปลาหมอคางดำ ในครั้งนี้เนื่องจาก  วิกฤตการระบาดของปลาหมอคางดำ  

ได้มีการระบาดในเขตจังหวัดที่ติดกับชายทะเลของประเทศไทย  รวมถึงจังหวัดจันทบุรี  และในเขตอำเภอนายายอาม  ซึ่งตำบลช้างข้ามเป็นตำบลที่ติดกับทะเลและมีลำคลองทอดยาวเข้ามาในตัวตำบล  และมีการระบาดของเจ้าปลาวายร้าย ชนิดนี้เป็นจำนวนมาก  ชาวบ้านและชาวประมงไม่ค่อยนำมารับประทานเนื่องจากคิดว่าไม่อร่อย เนื้อไม่อร่อย  มีกั้งแข็ง  จึงไม่นำมาประกอบอาหารกัน  จึงทำให้การระบาดของสัตว์ชนิดนี้ซึ่งไม่ใช่สัตว์ประจำถิ่น เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว  ปลาวายร้ายชนิดนี้ เข้ามากัดกินตัวอ่อนของสัตว์ที่เป็นสัตว์ประจำถิ่น  จนสัตว์ประจำถิ่นนั้นได้สูญหายและลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว  ชาวประมงบางท่านได้กล่าวว่าช่วงนี้ออกหาปู-หาปลาเมื่อก่อนหาปูได้ไม่ต่ำวันละ 20 กิโลกรัมต่อครั้ง  ในปัจจุบันนี้ชาวประมงบ่นว่า  ไปหาปู 7 วันถึงได้ 20 กิโลกรัม  แม้แต่ปลาในลำคลอง  วานแหลงไป เจอแต่ปลาหมอคางดำเต็มคลอง ปลาประจำถิ่น  แทบไม่มีติดอวนกลับมาเลย   ถ้าจะติดก็ติดมาไม่กี่ตัว   ไม่น่าเชื่อเลยหลังจากที่มีข่าวระบาดของปลาชนิดนี้เข้ามา  มันก็จริงอย่างที่ทางประมงอำเภอนายายอามเคยกล่าวไว้  

ซึ่งทางกลุ่มนักศึกษาจึงคิดค้นหาวิธีที่จะกำจัดปลาหมอคางดำให้ลดจำนวนลงบ้างถึงมันจะไม่ได้มากเท่าไหร่แต่ก็ก็ยังช่วย ในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดที่จะเพิ่มมากขึ้นและถ้าไม่ช่วยกันระบบนิเวศ  ของสัตว์ประจำถิ่นก็จะถูกปลาชนิดนี้กัดกิน ตัวอ่อนของสัตว์จำถิ่นจนหมดไปได้ 
กระบวนการการทำน้ำพริกปลาหมอคางดำ  เริ่มจากการนำปลาฯ มาทอดให้เหลือง  แล้วนำมาแกะเนื้อปลาออก การแกะต้องแกะให้ละเอียดนะ   ไม่งั้นจะมีกั้งติดมา   ปลานี้เค้าขึ้นชื่อเรื่องเยอะอยู่แล้ว   นำเครื่องเคียงมาผสมคือนำพริก-กระเทียม-น้ำมะขามเปียก หยิบเนื้อปลาโครกในครกให้ละเอียดให้ผสมเป็นเนื้อดียวเข้ากัน  แล้วก่อไฟเตาถ่าน  รสชาติจะอร่อยกว่าเตาแก๊ส   เนื่องจากเป็นไฟที่อ่อนและรสชาติของอาหารจะหอมขึ้น  แล้วหยิบกระทะตั้งกระทะโดยใช้ไฟปานกลาง   เมื่อกระทะร้อนแล้วนำน้ำมันพืชหรือน้ำมันหมูก็ได้ใส่ลงไป    ในกระทะพอประมาณให้ชลนำเนื้อปลาที่โขลกไว้รอ  ใส่ลงในกระทะร้อน  คั่วไปเรื่อยๆให้หอมปรุงแต่งรสด้วยน้ำตาลน้ำปลา-ซอสให้พอเหมาะ ค่อยๆคั่วไปเรื่อยๆ   คอยชิมรสชาติให้พอเหมาะ กลิ่นหอมของการคั่ว จะส่งกลิ่นหอมตะหลบ อบอวล  เมื่อได้ที่ก็ให้ยกลง เพื่อให้เย็นตัวลงสักหน่อย   นำบรรจุผลิตภัณฑ์  ติดสติกเกอร์ นำออกขายเป็นรายได้สำหรับผู้ที่ขาดรายได้ จะได้มีแนวคิด   และสูตรการทำเมนูนี้ 

ซึ่งปลาชนิดนี้  ชาวประมงที่ลากอ้วนมาได้จะขายกิโลกรัมละ 15 บาท  ซึ่งต้นทุนที่คุ้มค่าที่จะจัดทำผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ให้นำออกสู่ท้องตลาดได้ในอนาคต  ช่วงแรกทำใส่กระปุก  กระปุกน้ำจิ้ม สมมุติถ้านำไปขายจะขายในราคากระปุกละ 10 บาท                       

ซึ่งในวันนี้กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี  คณะมนุษศาสตร์สาขารัฐศาสตร์  ก็ได้รวมตัวกันนำไปแจกให้กับพี่น้องประชาชนที่มาประชุมใหญ่ประจำปี  ที่ศาลากลางหมู่บ้าน  ซึ่งก็เป็นที่ชื่นชอบและสอบถามกันว่า มันกินอร่อยไหมเพราะว่าชาวบ้านไม่เคยทำกินกันเลย  ซึ่งก็ขอบอกได้เลยว่าอร่อยมาก น่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ ในอนาคตอาจจะมีการทำขึ้นมาหลากหลายและเป็นเมนูที่แพร่ขยายไปในอนาคต  ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ที่ทำน้ำพริกปลาหมอคางดำ  และยังมีประโยชน์ในการช่วยลดปริมาณของปลาหมอคางดำ ในระบบนิเวศชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกอีกด้วย  

กิตติพงศ์ คงคาลัย  จ. จันทบุรี