In News
สรุปสู้รบชายแดนไทย-เขมรกองทัพภ.1,2 สระแก้วตรึงกำลังเข้ม/ยึดเนิน350ได้แล้ว
กรุงเทพฯ-สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1และกองทัพภาคที่2 ประจำวันที่20 ธันวาคม 2568 เผย3พื้นที่ยึดครองของไทยที่สระแก้ว กัมพูชายังคงเสริมกำลังและยิงปืนใหญ่เข้ามาเป็นระยะ กองทัพบกประณามกัมพูชาโจมตีชุมชนพลเรือน ใช้กำลังไม่เลือกเป้าหมาย ชี้สร้างผลกระทบรุนแรงต่อประชาชนคนไทยในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้กกล.บูรพา ควบคุมตัวบุคคลต่างด้าว ชาวกัมพูชา 76 คน ในพื้นที่การรบ เตรียมผลักดันส่งกลับประเทศ ส่วนกองทัพภาคที่ 2 ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาและการช่วยเหลือประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ยังยึดที่มั่นตรึงกำลังอย่างเข้มแข็ง และล่าสุดยึดเนิน350ได้และนำศพทหารที่เสียชีวิตออกมาได้เมื่อ 12.00 น.วันนี้
กองทัพภาคที่1 ยังตรึงกำลังเขมรเสริมกำลังต่อเนื่อง

ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ จ.สระแก้ว ประจำวัน 20 ธันวาคม 2568 เวลา 18.00 น.
กกล.บูรพา ปฏิบัติภารกิจปกป้องอธิปไตยในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เป็นวันที่ 13 โดยมีการรบปะทะเพื่อยึดครองพื้นที่ ใน 3 พื้นที่
1.พื้นที่บ้านคลองแผง อ.ตาพระยา : ฝ่ายกัมพูชายังคงเสริมความแข็งแรงของที่มั่น และเพิ่มเติมปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิดเข้าพื้นที่ เพื่อสร้างสภาวะเกื้อกูลในการปฏิบัติ
2.พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง : ฝ่ายกัมพูชายังมีการสริมความแข็งแรงของที่มั่น มีการยิงด้วยปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิด มายังที่มั่นของฝ่ายเราเป็นระยะๆ และเพิ่มเติมกำลังเตรียมการเข้าดำเนินกลยุทธ์ในพื้นที่ช่วงชิง
3. พื้นที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง : ฝ่ายกัมพูชาทำการยิงปืนใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิดมายังฝ่ายเราเป็นระยะๆ ตรวจพบการลำเลียงเสบียงและอาวุธกระสุนเข้าที่มั่นต่างๆ
สำหรับประชาชนในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว จำนวน 4 อำเภอ ทางจังหวัดสระแก้วร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว จำนวน 40 ศูนย์ ปัจจุบัน มีประชาชน รวม 16,580 คน
ซึ่งได้รับการสนับสนุนและบำรุงขวัญจากภาคส่วนต่างๆ ส่งผลให้ประชาชนมีขวัญและกำลังใจที่ดี พร้อมส่งแรงใจให้ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยให้แคล้วคลาดปลอดภัย
สรุปพื้นที่พลเรือนได้รับความเสียหายจากการยิงBM-21ของทหารกัมพูชา

กองทัพบกประณามกัมพูชาโจมตีชุมชนพลเรือน ใช้กำลังไม่เลือกเป้าหมาย ชี้สร้างผลกระทบรุนแรงต่อประชาชนคนไทยในพื้นที่ชายแดน
วันนี้ (20 ธันวาคม 2568) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกขอประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชา ที่ใช้กำลังทางทหารและอาวุธโจมตีเข้ามาในพื้นที่ในพื้นที่ชุมชนและบ้านเรือนประชาชนใกล้แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่พลเรือนและมิใช่พื้นที่ทางทหาร การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดหลักการคุ้มครองพลเรือนตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและบรรทัดฐานตามหลักสากลอย่างร้ายแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนคนไทยผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
การใช้กำลังในลักษณะดังกล่าว ได้สร้างความสูญเสียและความเดือดร้อนแก่ประชาชนในพื้นที่ชายแดนอย่างกว้างขวาง ทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้ต้องดำรงชีวิตท่ามกลางความหวาดกลัวและความไม่มั่นคง อันเป็นผลจากการใช้กำลังที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านมนุษยธรรมและความปลอดภัยของพลเรือน
สถานการณ์ความไม่สงบและการใช้กำลังทางทหารบริเวณแนวชายแดน ซึ่งยังคงมีความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนไทยเป็นวงกว้าง มีประชาชนได้รับผลกระทบรวมประมาณ 400,000 ราย จากสถานการณ์ดังกล่าว พบว่ามีประชาชนเสียชีวิตรวม 23 ราย แบ่งเป็นผู้เสียชีวิตจากกรณีอาวุธจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ตกในพื้นที่บ้านเรือนของประชาชนโดยตรง จำนวน 1 ราย และผู้เสียชีวิตจากผลกระทบทางอ้อมของเหตุการณ์ จำนวน 22 ราย นอกจากนี้ ยังมีประชาชนได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีดังกล่าวอีก 6 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดล้วนเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบแต่อย่างใด
นอกจากความสูญเสียต่อชีวิตของประชาชนแล้ว การกระทำดังกล่าวยังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อทรัพย์สินและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน โดยมีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายไม่น้อยกว่า 30 หลัง พื้นที่ทำการเกษตรซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประชาชนได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถประกอบอาชีพหรือดำรงชีวิตได้ตามปกติ
นอกจากนี้ พบว่ามีโรงพยาบาลได้รับผลกระทบ 20 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ได้รับผลกระทบ 201 แห่ง โดยเฉพาะโรงพยาบาลพนมดงรักที่ได้รับผลกระทบจากอาวุธจรวดหลายลำกล้อง BM-21 โดยตรง ขณะเดียวกัน ความไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นยังส่งผลให้สถานศึกษาหลายแห่งในพื้นที่ชายแดนต้องหยุดการเรียนการสอน เด็กและเยาวชนไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ตามปกติ ขาดโอกาสทางการศึกษา และต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความหวาดกลัว ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและต่อเนื่องต่อคุณภาพชีวิตและความมั่นคงในการดำรงชีพของประชาชนในระยะยาว
โฆษกกองทัพบกระบุว่าการมุ่งเป้าโจมตีของฝ่ายกัมพูชาเป็นการใช้กำลังในลักษณะไม่เลือกเป้าหมายซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายและผลกระทบต่อชีวิตประชาชนเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ประชาชนคนไทยไม่ควรต้องตกเป็นเป้าหมายหรือได้รับผลกระทบจากการกระทำทางทหารในลักษณะดังกล่าวกองทัพบกขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการกระทำที่ก่อให้เกิดความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ในทันทีพร้อมทั้งปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด
สรุปพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย จากฝ่ายกัมพูชาได้ยิง BM-21 และเครื่องยิงลูกระเบิด เข้ามายังพื้นทึ่ชายแดน จ.สระแก้ว(ตั้งแต่ 8 - 20 ธ.ค.68)ดังนี้
กกล.บูรพา ควบคุมตัวบุคคลต่างด้าว ชาวกัมพูชา 76 คน ในพื้นที่การรบ เตรียมผลักดันส่งกลับประเทศ
เมื่อ 19 ธ.ค. 68 กกล.บูรพา ร่วมกับ ภ.จว.สระแก้ว และฝ่ายปกครอง อ.โคกสูง ดำเนินการตรวจสอบและควบคุมตัวบุคคลต่างด้าวในพื้นที่การรบ บริเวณ บ.ศิลารัตน์พัฒนา และ บ.อ่างศิลา รวมทั้งสิ้น 76 คน
โดยมีท่าทีว่าจะเดินทางเข้ามาทำงานในพื้นที่ประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ หากไม่พบความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดน ก็จะดำเนินการผลักดันกลับราชอาณาจักรกัมพูชา ตามหลักมนุษยธรรมต่อไป
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 วันนี้
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาและการช่วยเหลือประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 20 ธันวาคม 2568 ดังนี้

พื้นที่ช่องอานม้า : ฝ่ายกัมพูชาใช้โดรนตรวจการณ์ในพื้นที่เป็นระยะ ขณะนี้ ฝ่ายเราสถาปนาความมั่นคง ณ ที่หมาย และตรึงกำลังตลอดหน้าแนววางกำลัง
พื้นที่โดนตรวล- ซำแต - ภูผี - สัตตะโสม - ช่องตาเฒ่า : ฝ่ายกัมพูชาใช้เครื่องยิงลูกระเบิด และปืนใหญ่ยิงใส่ฝ่ายเราหลายจุด ทำให้บังเกอร์เสียหายและมีกำลังพลฝ่ายเราได้รับบาดเจ็บ ฝ่ายเราทำการยิงตอบโต้ ด้วยปืนใหญ่ ส่งผลให้ฝ่ายกัมพูชาต้องย้ายที่ตั้งยิงรถถังเพื่อปรับแนวการยิงใหม่
พื้นที่ผามออีแดง - ห้วยตามาเรีย : ฝ่ายกัมพูชาใช้อากาศยานไร้คนขับ UAV บินตรวจการณ์ และใช้โดรนพลีชีพ FPV อย่างหนาแน่น โดยเฉพาะช่วงเย็นถึงหัวค่ำ ใช้ปืนใหญ่ยิงใส่ฐานทหารฝ่ายเราหลายจุด ฝ่ายเราใช้เครื่องยิงลูกระเบิด และปืนใหญ่ยิงทำลายเป้าหมายตามเหตุการณ์ และที่ตั้งยิงของปืนใหญ่ฝ่ายตรงข้ามเป็นระยะ
พื้นที่ปราสาทตาควาย - บริเวณเนิน 350 : ซึ่งหน่วยมีการจัดกำลังเข้ากวาดล้าง จำนวน 3 ที่หมาย ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมา ผลการปฏิบัติขั้นต้นสามารถควบคุมได้ 2 ที่หมาย คือ ปราสาทตาควาย และที่รวมพลของทหารกัมพูชา และในทันทีที่เข้ากวาดล้างที่หมายสุดท้าย คือ เนิน 350 ได้ถูกฝ่ายกัมพูชา ตอบโต้อย่างรุนแรง จนทำให้ จ่าสิบเอก สำเริง คลังประโคน และ พลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สา ซึ่งเป็นกำลังพลจากหน่วย กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 เสียชีวิตขณะเข้าปฏิบัติหน้าที่ และหลังจากที่หน่วยได้พยายามใช้ปฏิบัติการทหารเข้าควบคุมพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2568 หน่วยจึงสามารถควบคุมพื้นที่เนิน 350 ไว้ได้ และได้นำร่างผู้เสียชีวิตทั้ง 2 นาย ออกจากพื้นที่การรบ เมื่อเวลาประมาณ 12.00 นาฬิกา ของวันนี้

สำหรับในวันพรุ่งนี้ จะมีพิธีกองทหารเกียรติยศ ส่งร่างผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีทางศาสนา ณ ภูมิลำเนา ต่อไป
กองทัพภาคที่2สรุปการช่วยเหลือประชาชน
ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาค 2 ขอสรุปผลการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี อัญเชิญสิ่งของพระราชทาน มอบให้แก่กำลังพลทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ณ หอผู้ป่วยราชการสนาม อาคารเฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา มหาราชินี โรงพยาบาลค่ายสุรนารี
พร้อมกันนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ อัญเชิญแจกันดอกไม้พระราชทานและกระเช้าสิ่งของพระราชทาน มอบให้แก่กำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ณ โรงพยาบาลปราสาท จ.สุรินทร์ และโรงพยาบาลบุรีรัมย์ เพื่อเป็นขวัญ กำลังใจ ยังความปลื้มปิติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอาหารพร้อมรับประทาน 8,439 ถ้วย และน้ำดื่ม 2,400 ขวด แก่กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในกองกำลังสุรนารี เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมี พลตรี สมภพ ภาระเวช เป็นผู้แทนรับพระราชทาน ณ กองบัญชาการกองกำลังสุรนารี จังหวัดสุรินทร์ เหล่ากำลังพลต่างรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงห่วงใยและพระราชทานขวัญกำลังใจในครั้งนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลิงศพ กำลังพลสังกัดกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 ซึ่งเสียชีวิตจากการสู้รบปกป้องอธิปไตย ณ บริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี โดยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพทหารกล้าผู้เสียสละทั้ง 2 นาย ได้แก่ จ่าสิบเอก ทวีรัตน์ รัตนบุรี จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดถ้ำโกบ อ.เขาพนม จ.กระบี่ โดยมี พลเอก อัฏฐพล ลัดใหม่กุลวัฒน์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก เป็นประธานในพิธี และจ่าสิบเอก ดำรงเกียรติ แก้วกระจ่าง จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดหลวงพ่อเขียว อ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมี พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่ครอบครัว และประชาชนในพื้นที่ต่างซาบซึ้งในน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยพสกนิกรทุกหมู่เหล่าอย่างแท้จริง น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น อันหาที่สุดไม่ได้ นับเป็นเกียรติยศสูงสุดแก่กำลังพลผู้เสียสละ และวงศ์ตระกูลสืบไป
เพื่อเป็นการสดุดีความกล้าหาญและความจงรักภักดีอย่างสูงสุด กองทัพบกดำเนินการปูนบำเหน็จพิเศษ 9 ขั้น และขอพระราชทานยศเป็น "พลตรี" พร้อมมอบเงินช่วยเหลือและสวัสดิการแก่ครอบครัวอย่างเต็มที่ เพื่อตอบแทนความกล้าหาญและความเสียสละอันสูงสุดของวีรบุรุษทั้งสองนาย
ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 25 จัดพิธีสดุดีวีรกรรมและพิธีส่งศพ พลทหาร วสันต์ ขานหัวโทน สังกัด กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 13 ที่เสียชีวิตจากการสละชีพเพื่อชาติในเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา พิธีจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ โดยมี ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธานในพิธี เพื่อไว้อาลัยและยกย่องในความกล้าหาญ ก่อนที่จะดำเนินการเคลื่อนย้ายร่างของทหารกล้ากลับสู่ภูมิลำเนา จ.อุดรธานี เพื่อประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพต่อไป
ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาค 2 ยืนยันจะเดินหน้าปฏิบัติภารกิจเคียงข้างประชาชนอย่างเต็มกำลัง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง







