BUSINESS
เปิดเวที10ปีอิตาเลียน-ไทยบิสซิเนสฟอรั่ม ผนึกนักธุรกิจระดับโลกขับเคลื่อนศก.ไทย
กรุงเทพฯ-ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยและอิตาลีเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง โดยข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าการค้าระหว่างไทย-อิตาลี ปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) มีมูลค่ารวม 4,286.84 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 1.30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
โดยในโอกาสครบรอบ 10 ปีของการประชุมอิตาเลียน–ไทย บิสซิเนส ฟอรั่ม (Italian–Thai Business Forum: ITBF)เวทีสำหรับการพบปะ แลกเปลี่ยนความคิด และส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทวิภาคีระหว่างภาคธุรกิจระดับแถวหน้าของไทยและอิตาลี ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ณ โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ ดำเนินงานโดยหอการค้าไทย หอการค้าอิตาเลียน–ไทย และสถานเอกอัครราชทูตของทั้งสองประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับศักยภาพการค้าและการลงทุนระหว่างไทย–อิตาลี ตลอดจนเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในหลากหลายอุตสาหกรรมเป้าหมายให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนซึ่งได้รวบรวมผู้บริหารระดับสูงและนักธุรกิจชั้นนำจากไทยและอิตาลีรวม29บริษัทได้แก่ บริษัทจากไทย 19บริษัท และจากอิตาลี 10 บริษัท ครอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ ยานยนต์ การธนาคาร โครงสร้างพื้นฐานและการขนส่ง อาหาร ประกันภัย เฟอร์นิเจอร์ ไลฟ์สไตล์ น้ำมันและก๊าซ พลังงานหมุนเวียน เครื่องจักร น้ำตาล ค้าปลีก ยาง ปิโตรเคมี และการท่องเที่ยว รวมทั้งมีหน่วยงานสำคัญจากภาครัฐเข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านเศรษฐกิจและโอกาสการลงทุน

การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้มีบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนการค้าการลงทุนเข้าร่วมงานคับคั่ง อาทิฯพณฯ นายพุทธพร อิ้วตกส้าน เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำสาธารณรัฐอิตาลีฯพณฯ นายเปาโล ดีโอนีซี เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย นางสาวบุษบา จิราธิวัฒน์ที่ปรึกษากลุ่มเซ็นทรัล และประธานร่วมฝ่ายไทยนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกิตติมศักดิ์ของกลุ่มมิตรผล นายดาวิเด คาวักญ่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คาวักญ่า กรุ๊ปผู้ประกอบธุรกิจอุปกรณ์และชิ้นส่วนควบคุมก๊าซอัดแรงดันจากประเทศอิตาลี และจีรพันธ์ อัศวะธนกุลประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทประกันภัยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) และรองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงาน คือ การบรรยายโดยดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Thailand Outlook 2025 and Future Business Opportunities in Thailand” โดยระบุว่า “เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวอย่างเปราะบาง โดยคาดว่า GDP จะขยายตัวราว 2.2% ท่ามกลางแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงถึง 87% ของ GDP ความไม่แน่นอนทางการเมือง และข้อจำกัดด้านโครงสร้างในภาคการผลิต การศึกษา และเกษตรกรรม อย่างไรก็ตามแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2026 มีทิศทางเชิงบวกมากขึ้น จากการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน การฟื้นตัวของรายได้ท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวระยะไกลที่มีคุณภาพอย่างไรก็ตามประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งเดินหน้าแผนเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจากก๊าซธรรมชาติสู่พลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์เป็นต้น”
จากนั้นเป็นการเสวนาในหัวข้อ“The Next Investment Wave”โดยผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรชั้นนำ ได้แก่ นายบรรณ เกษมทรัพย์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGJWD (SCGJWD Logistics Public Company Limited)นายทิวา ยอร์คประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Kaidee(ขายดี)แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ชั้นนำของประเทศไทยนายอัฐ ทองแตงประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล (Phyathai Hospital Group and Paolo Hospital Group (G5 BDMS)) โดยมีนายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด(Merchant Partners Asset Management)ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ การเสวนาครั้งนี้ได้กล่าวถึง “คลื่นการลงทุนระลอกใหม่ กำลังเกิดขึ้นในหลายอุตสาหกรรมภายใต้บริบท 4Ds ได้แก่ Deglobalization, Decarbonization, Digitalization และ Demographicsเช่น ภาคสุขภาพและเวลเนสกำลังขยับสู่การป้องกันและการดูแลสุขภาพเชิงรุก พร้อมการเติบโตของ Telemedicine ขณะที่ภาคโลจิสติกส์ต้องเร่งยกระดับประสิทธิภาพ ปรับจากระบบ Just-in-Time ส่งมอบสินค้าทันทีเพื่อลดปริมาณสินค้าคงคลัง ไปสู่ระบบJust-in-caseให้มีสินค้าสำรองเพิ่มขึ้นสำหรับรองรับเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนรวมทั้งการนำเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติมาใช้เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าในอาเซียน”
นอกจากนี้ยังมีการบรรยายโดยนายจูลิโอ เปเซนติ (Mr. Giulio Pesenti)จากกลุ่มบริษัทเคลสซิดรา(CLESSIDRA Group)ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ในหัวข้อ “Accessing Opportunities in Italy”โดยนำเสนอภาพเศรษฐกิจอิตาลีซึ่งขับเคลื่อนด้วยการส่งออกและมีภาคการผลิตคิดเป็น 15% ของ GDP สูงเป็นอันดับสองของยุโรป ซึ่งแม้โครงสร้างธุรกิจส่วนใหญ่ประกอบด้วย SMEs แต่อิตาลียังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่า โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่กว่า 35% ของบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านเจนเนอเรชั่นทายาทและผู้บริหารในการปรับโครงสร้างและยกระดับสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ทั้งนี้ อิตาลียังโดดเด่นในอุตสาหกรรมเครื่องจักรขั้นสูงอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีการเกษตรรวมทั้งซัพพลายเชนสินค้าแบรนด์หรู ควบคู่กับการให้ความสำคัญต่อแนวทาง ESG ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนและสูงขึ้นได้ในระยะยาว
ช่วงท้ายของงาน นางสาวบุษบา จิราธิวัฒน์ ที่ปรึกษากลุ่มเซ็นทรัล และประธานร่วมฝั่งไทย ได้กล่าวปิดการประชุมพร้อมแสดงความยินดีกับประธานร่วมคนใหม่ โดยกล่าวว่า “การประชุม ITBF สะท้อนให้เห็นถึงพลังความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างไทยและอิตาลี ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เวทีแห่งนี้ได้ก้าวขึ้นเป็นพื้นที่สำคัญในการสร้างพันธมิตรใหม่ เสริมสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ และสานต่อมิตรภาพอันยาวนานของทั้งสองประเทศ พร้อมกันนี้ ดิฉันขอขอบคุณคุณาคาร์โล เปเซนติ ประธานร่วมฝั่งอิตาลี ที่ร่วมกันเดินหน้า ITBF ด้วยดีเสมอมา และขอส่งต่อบทบาทประธานร่วมให้แก่ผู้นำคนใหม่เพื่อขับเคลื่อน ITBF ด้วยมุมมองใหม่อันกว้างไกลยิ่งขึ้น ได้แก่ คุณดาวิเด คาวักญ่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คาวักญ่า กรุ๊ปดำรงตำแหน่งประธานร่วมฝั่งอิตาลี และคุณจีรพันธ์ อัศวะธนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) และรองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ดำรงตำแหน่งประธานร่วมฝั่งไทย โดยเชื่อมั่นว่าภายใต้การนำของทั้งสองท่าน ITBF จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดกิจกรรมความร่วมมือที่มีคุณค่าและสร้างโอกาสใหม่ให้แก่ภาคธุรกิจไทย–อิตาลีในอนาคตอย่างยั่งยืน”
ผลงานเด่นบางส่วนตลอดสิบปีที่ผ่านมาที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างไทย–อิตาลีภายใต้กรอบ ITBF เช่น
- ด้านเกษตรกรรม กลุ่มมิตรผลได้ร่วมมือกับ บริษัท ซีเอ็นเอช อินดัสเทรียล (CNH Industrial)
นำเข้าเครื่องจักรเก็บเกี่ยวอ้อยรุ่นใหม่เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของเกษตรไทยรวมถึงจัดตั้ง “ศูนย์เทคโนโลยีเครื่องจักรกลเกษตร” ในวิทยาลัยเทคโนโลยีเกษตรอุตสากรรมชั้นสูงขอนแก่นเพื่อฝึกภาคทฤษฎี ในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เครื่องจักรกลเกษตร และฝึกภาคปฏิบัติ ในการขับรถแทร็กเตอร์ การขับรถตัดอ้อย การดูแลรักษาเครื่องจักรกลเกษตร - ด้านอุตสาหกรรมอาหาร :การส่งออกเนื้อวัวอิตาเลียนจาก คีโมนีนี กรุ๊ป(Cremonini Group)มายังประเทศไทย การจับมือระหว่างวิทยาลัยดุสิตธานี (Dusit Thani College)กับสถาบันอาหารชั้นนำของอิตาลีอย่าง กัมเบโร่ รอสโซ่(Gambero Rosso)และ อัลมา (ALMA)เพื่อเปิดหลักสูตรอาหารอิตาเลียนในไทย รวมถึงการส่งออกเบียร์สิงห์ไปสู่ช่องทางค้าปลีกสมัยใหม่ในอิตาลี
- ด้านไลฟ์สไตล์ :บริษัท แอ็ลไลด์ เม็ททัลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด (Allied Metals (Thailand) Co.,Ltd.)เดินหน้าต่อยอดความเป็นเลิศของอุตสาหกรรมครัวอิตาเลียนในไทย ด้วยการนำอุปกรณ์ครัวระดับไฮเอนด์จากอิตาลีมาใช้ในโรงแรมและรีสอร์ตชั้นนำ รวมถึงร้านอาหารระดับไฟน์ไดนิ่งทั่วประเทศ พร้อมพัฒนาโซลูชันเฉพาะทางที่ยกระดับมาตรฐานงานครัวพรีเมียมในภาคบริการของไทย
- ด้านการลงทุน: กลุ่มเซ็นทรัลเข้าลงทุนในกิจการห้างรีนาเชนเต(Rinascente)ประเทศอิตาลี ซึ่งถือเป็นห้างทรงคุณค่าอายุเกินกว่า 100 ปี และได้รับความนิยมมากที่สุดในอิตาลี พร้อมพัฒนาให้เติบโตจนมียอดขายทะลุ 1,000 ล้านยูโรในปี 2023ปัจจุบันมี 9 สาขา ใน 8 เมืองหลักได้แก่ มิลาน, โรม เวีย เดล ตริโตเน, โรม เปียซซาฟิอุเม, ตูริน, ฟลอเรนซ์, คัลยารี, ปาแลร์โม, กาตาเนีย และมอนซ่า รวมพื้นที่ทั้งสิ้นกว่า 74,000 ตารางเมตร อีกทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวยังสามารถสะสมคะแนน The1 ได้อีกด้วย
- ด้านBio-Circular-Green Economy (BCG):บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด (Singha Corporation) และ บริษัท วิตตอเรีย อินดัสทรีส์ จำกัด (Vittoria Industries) ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท กราฟีน ครีเอชั่น จำกัด(Graphene Creations Co.,Ltd.)ในประเทศไทย เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาวัสดุกราฟีน (Graphene) ซึ่งเป็นวัสดุคาร์บอนที่นำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น ยางรถจักรยาน สิ่งแวดล้อม สิ่งทอ และการเคลือบผิว
- ด้านพลังงาน: ปตท. ได้หารือความร่วมมือกับ สแนม (SNAM)ผู้เชี่ยวชาญด้านก๊าซธรรมชาติของอิตาลีในประเด็นด้านพลังงานสะอาด
- ด้านการท่องเที่ยว การบินไทยได้เพิ่มเที่ยวบินสู่เมืองมิลานในปี 2567เพื่อตอบสนองการเดินทางที่เพิ่มขึ้นในยุโรป พร้อมร่วมมือกับ คีโมนีนี กรุ๊ป (Cremonini Group)เพื่อพัฒนาการบริการบนเครื่องบิน (in-flight services)โดยเฉพาะด้านอาหารและเครื่องดื่ม
- ด้านศิลปะและการออกแบบบริษัท อุตสาหกรรมดีสวัสดิ์ จำกัด (Deesawat Industries) ผู้ผลิตและส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไทยที่โดดเด่นด้านดีไซน์ความยั่งยืน ภายใต้แบรนด์ “Deesawat” ได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ระดับโลก อาทิ Milan Design Week หรือSalone del Mobile ซึ่งช่วยให้สร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับดีไซเนอร์อิตาเลียนอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ยังได้ขับเคลื่อนความร่วมมือผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ณ The Food School Bangkokสถาบันสอนทำอาหารแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งจากความร่วมมือของโรงเรียนพันธมิตร 3 แห่ง ได้แก่ อัลมา (ALMA)จากประเทศอิตาลี วิทยาลัยดุสิตธานี และ ซึจิ (Tsuji) จากประเทศญี่ปุ่น การสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลืออิตาลีในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด–19,การจัดงาน Italian Cuisine Week สัปดาห์อาหารอิตาเลียนโดยท็อปส์ ธุรกิจกลุ่มฟู้ดในเครือเซ็นทรัล รีเทล ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย และสำนักงานพาณิชย์อิตาเลียนประจำประเทศไทย (ITA) รวบรวมอาหารวัตถุดิบคุณภาพ และสินค้าพรีเมียมMade in Italy มาไว้ในงานเดียว ตลอดจนงาน “Dolce Italia” มหกรรมสินค้าและไลฟ์สไตล์อิตาเลียนที่จัดโดยห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตอิตาลี และสำนักงานพาณิชย์อิตาเลียนประจำประเทศไทย (ITA) เพื่อส่งเสริมสินค้าแฟชั่นอิตาเลียนในไทย ซึ่งความร่วมมือเหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงพลังของภาคธุรกิจไทย–อิตาลีที่เติบโตเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง

การประชุมอิตาเลียน–ไทย บิสซิเนส ฟอรั่ม ครั้งที่ 10 นับเป็นก้าวสำคัญในการเข้าสู่ทศวรรษใหม่ของความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอิตาลี ภายใต้พันธกิจร่วมกันในการเสริมสร้างความเชื่อมโยง สร้างโอกาสทางธุรกิจ และผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืน.
