OPINION

มายาคติแห่งการตื่นรู้: เมื่อ ‘ผู้หวังดี’ คือ... เงาพรางตาของกลไกอำนาจรัฐลึก โดย: ฟอนต์ สีดำ



ในห้วงยามที่มวลมนุษยชาติเผชิญกับวิกฤตการณ์โรกระบาดโควิด-19 โลกมิได้เพียงแต่ต้องรับมือกับเชื้อไวรัสที่ทำลายล้างทางกายภาพเท่านั้น หากแต่ยังเกิดปรากฏการณ์ “การตื่นรู้ขนานใหญ่” (Mass Awakening) ที่รุนแรงไม่แพ้กัน ผู้คนจำนวนมหาศาลเริ่มตั้งคำถามต่อความจริงที่รัฐและหน่วยงานระดับโลกหยิบยื่นให้ แรงสั่นสะเทือนนี้ทำให้โครงสร้างแห่งอำนาจที่เคยถูกปกปิดไว้ภายใต้หน้ากากของความหวังดีเริ่มปรากฏรอยร้าว ทว่าในขณะที่กระแสธารแห่งการต่อต้านกำลังเชี่ยวกราก กลับมีกลไกที่แยบยลยิ่งกว่าถูกอุบัติขึ้นเพื่อเข้าแทรกแซงและควบคุมทิศทางของเสรีภาพทางความคิดนั้น กลไกที่นักยุทธศาสตร์เรียกขานว่า "Controlled Opposition" หรือ "การควบคุมฝ่ายต่อต้าน"

1. พันธนาการใหม่ในนามของเสรีภาพ

ภายหลังบทเรียนจากการโกหกครั้งใหญ่ในระดับสากล ความเชื่อมั่นที่มีต่อองค์กรอนามัยโลก (WHO) หน่วยงานสาธารณสุข และรัฐบาลท้องถิ่นลดฮวบลงสู่จุดต่ำสุด กลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกตราหน้าว่าเป็น “นักทฤษฎีสมคบคิด” (Conspiracy Theorists) กลับกลายเป็นผู้กุมข้อมูลความจริงในสายตาของมหาชน ทว่าในความพยายามที่จะหลบหนีออกจาก “คอกเดิม” แห่งความลวง กลไกอำนาจที่เหนือกว่า—ซึ่งอาจเรียกในทางรัฐศาสตร์ว่าเป็น รัฐลึก (Deep State) หรือ คาบาล (Cabal)—ไม่ได้นิ่งเฉยต่อการแข็งข้อนี้ หากแต่ได้สร้าง “คอกใหม่” ที่หรูหราและดูน่าเชื่อถือกว่าเดิมขึ้นมาเพื่อรองรับผู้ที่เพิ่งตื่นขึ้น

กลยุทธ์สำคัญของกลไกนี้คือการไม่ควบคุมเพียงฝ่ายเดียว แต่เลือกที่จะ “คุมทั้งสองฝั่ง” ประดุจการล็อกผลการแข่งขันกีฬาที่ผู้ควบคุมยัดเงินใต้โต๊ะให้กับนักกีฬาของทั้งสองทีม เพื่อประกันว่าไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะ ผลลัพธ์สุดท้ายจะยังคงเป็นไปตามเจตจำนงของผู้บงการเสมอ การส่งคนของตนเองเข้าไปสวมบทบาทเป็นผู้นำทางความคิดในกลุ่มผู้ตื่นรู้ จึงเป็นยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการสยบไฟแห่งการต่อต้านที่กำลังคุโชน

2. ศิลปะแห่งการเบี่ยงเบนและการตีกรอบทางความคิด

หน้าที่หลักของ “ฝ่ายต่อต้านที่ถูกควบคุม” คือการสร้างกำแพงล่องหนเพื่อจำกัดขอบเขตการรับรู้ของผู้คน โดยมีกลวิธีพื้นฐาน 4 ประการที่ถูกนำมาใช้:

  • การใส่ข้อมูลบิดเบือนเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือ: หนึ่งในกรณีที่เห็นชัดคือการโหมกระแสทฤษฎี “โลกแบน” (Flat Earth) เข้าไปในกลุ่มผู้ตื่นรู้ เพื่อทำให้สังคมในวงกว้างมองว่ากลุ่มคนที่สงสัยในอำนาจรัฐเป็นเพียงกลุ่มคนสติฟั่นเฟือนที่ไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เป็นการทำลายน้ำหนักของประเด็นสำคัญอื่น ๆ เช่น เรื่องวัคซีนหรือเศรษฐกิจดิจิทัลให้กลายเป็นเรื่องตลกขบขัน
  • การปลอบประโลมด้วยนิทานแห่งความหวัง: การสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับ “ฝ่ายแสง” มนุษย์ต่างดาวที่จะมาช่วยกอบกู้โลก หรือนักการเมืองผู้กล้าที่กำลังทำสงครามลับกับรัฐลึก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปเพื่อเป้าหมายเดียวคือการทำให้ผู้คน “สงบนิ่ง” และรอคอยความช่วยเหลือจากภายนอก แทนที่จะลุกขึ้นมาต้านทานด้วยตนเอง เป็นการสะกดจิตหมู่ให้เชื่อว่า “เราชนะแล้ว” ทั้งที่แผนการบีบคั้นสิทธิเสรีภาพยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
  • การตัดลูกโซ่แห่งการขยายตัว: เมื่อข้อมูลความจริงเริ่มแพร่กระจายไปถึงจุดเปลี่ยน (Tipping Point) ผู้ควบคุมจะส่งตัวแทนเข้าไปเป็น “หัวโจก” เพื่อนำทิศทางไปสู่ทางตัน หรือสร้างประเด็นดราม่าภายในกลุ่มเพื่อตัดกำลังใจและทำให้ขบวนการต่อต้านแตกสลายไปเอง
  • การรักษาเสถียรภาพด้วยวิชาการปลอม: การสวมเสื้อกาวน์หรือการอ้างอิงตำแหน่งทางวิชาชีพมาพูดในสิ่งที่ผู้คน “อยากได้ยิน” เพื่อสร้างความไว้วางใจ ก่อนจะค่อย ๆ นำพาทัศนคติเหล่านั้นไปสู่วาระใหม่ที่ระบบต้องการในอนาคต

3. วาระที่ซ่อนเร้น: จากการล้างพิษสู่พันธนาการดิจิทัล

ในขณะที่ผู้คนกำลังหลงทางอยู่กับนิทานเรื่องฝ่ายแสงหรือการโต้เถียงเรื่องโลกแบน แผนการใหญ่ที่แท้จริงกลับกำลังรุกคืบเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ทั้งเรื่องการสร้าง “เมือง 15 นาที” ที่จำกัดเสรีภาพในการเดินทาง การบังคับใช้ ID ดิจิทัลเพื่อการสแกนใบหน้าและควบคุมพฤติกรรม ตลอดจนวาระทางเศรษฐกิจผ่านภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ที่จะทำให้ต้นทุนชีวิตของมนุษย์สูงขึ้นอย่างมหาศาล

ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือขบวนการที่อาจเกิดขึ้นในนามของ “การล้างพิษวัคซีน” ซึ่งอาจเป็นเพียงหน้ากากใหม่ของการนำสารเคมีหรือยาบางประเภทเข้าสู่ร่างกายมนุษย์อีกครั้งภายใต้ความยินยอมของผู้ที่เคยหวาดกลัว นี่คืออำนาจละมุน (Soft Power) ที่ใช้ความหวังดีเป็นเครื่องมือในการกดขี่

4. บทสรุป: ตื่นรู้... หรือเพียงแค่ละเมอ?

การตื่นรู้ที่แท้จริงมิใช่เพียงการปฏิเสธสิ่งที่รัฐบอก แล้วหันไปเชื่อทุกสิ่งที่ “ผู้นำทางความคิดฝ่ายต่อต้าน” หยิบยื่นให้ หากแต่คือการใช้สติและวิจารณญาณที่ปราศจากอคติในการสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหน้าตาต่อตา เราต้องตระหนักว่า “ผู้ที่พูดหวานหูที่สุด” อาจเป็นผู้ที่กำลังรัดบ่วงกรรมรอบคอเราแน่นที่สุด

โลกไม่ได้แบน แต่สมองและวิสัยทัศน์ของเราอาจจะถูกบีบให้แบนราบหากเราหยุดตั้งคำถามต่อผู้ที่เราเรียกว่า “วีรบุรุษ” ของฝั่งเราเอง เสรีภาพไม่ได้มาจากการรอคอยฝ่ายแสงหรือมนุษย์ต่างดาว แต่มาจากความกล้าหาญที่จะมองเห็นความจริงด้วยตาตนเอง และลุกขึ้นยืนหยัดในจุดที่เรายืนอยู่ ก่อนที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้งในนามของการมีสุขภาพดีและความปลอดภัย