OPINION

อภิจิตแห่งสุญญตา: การพังทลายของกาลเวลาและมิติแห่งการตื่นรู้ฉับพลัน  โดย: ฟอนต์ สีดำ



บทนำ: เมื่อ "ผู้รู้" ตื่นจากหลับใหล

ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2569 ข้าพเจ้า ฟอนต์ สีดำ ขอมอบของขวัญปีใหม่ให้กับท่านผู้อ่านด้วยความหวังอันบริสุทธิ์ ที่ปรารถนาให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีแต่ความสุข ความเจริญ คิดหวังสิ่งใดก็ขอให้ได้ตามปรารถนา สิ่งที่ผู้เขียนขอมอบให้กับท่านผ้อ่านเป็นของขวัญปีใหม่ที่หวังว่าจะเป็นพลังอันสำคัญที่จะทำให้ท่านผู้อ่านสมปรารถนา ทุกท่าน เทอญ..

สัจธรรมที่โลกตามหามาหลายพันปีไม่ได้ซ่อนอยู่ในตำราเล่มไหน หากแต่สถิตอยู่ ณ กลางใจที่กำลังเต้นอยู่ของทุกดวงจิต การเดินทางที่แท้จริงไม่ใช่การก้าวไปข้างหน้าในมิติของระยะทาง แต่คือการ "ย้อนกลับ" มาสังเกตอาการของจิตที่กำลังปรากฏอยู่ตามจริง ความหลงผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์คือการเชื่อว่าความทุกข์หรือความสำเร็จเป็นสิ่งภายนอก ทั้งที่แท้จริงแล้ว ทุกสรรพสิ่งล้วนมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ และสำเร็จได้ด้วยใจ (มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา)

หากเราสามารถกระเทาะเปลือกของ "อวิชชา" และดึง "ผู้รู้" ออกจาก "สิ่งที่ถูกรู้" ได้สำเร็จ วินาทีนั้นเองที่ภพชาติจะพังทลายลง และพลังงานมหาศาลแห่งจักรวาลจะไหลบ่าเข้าสู่ดวงจิตที่ตื่นรู้

1: มิติควอนตัมและอภิจิตแห่งความน่าจะเป็น

ในโลกของฟิสิกส์นิวตัน (Newtonian Physics) เราคุ้นชินกับความแน่นอนและการวัดผลได้ ทุกอย่างดำเนินไปตามเหตุและผลที่จำกัด ทว่าเมื่อเราก้าวเข้าสู่อาณาจักรควอนตัม (Quantum Realm) กฎเกณฑ์เหล่านั้นกลับถูกสั่นคลอน ในระดับอะตอมที่เล็กที่สุด ทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่ในสภาวะ "ความน่าจะเป็น" (Probability) ที่ไร้ขีดจำกัด

การทดลอง "Double Slit Experiment" ได้เผยให้เห็นความลับที่ลึกซึ้งว่า อนุภาคสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นคลื่นได้ตาม "การจ้องมองของผู้สังเกต" สิ่งนี้สะท้อนถึงอำนาจแห่ง "อภิจิต" (Mastermind) ของมนุษย์ เมื่อเราจดจ่อความคิดไปที่สิ่งใด พลังงานในจิตวิญญาณจะดึงดูดผลลัพธ์นั้นเข้ามาในชีวิตทันที ความคิดเปรียบเสมือนรหัสผ่านที่ส่งสัญญาณไปยังสนามพลังงานควอนตัม หากเราจดจ่ออยู่กับอุปสรรค ชีวิตย่อมเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่หากเรายกระดับจิตสู่ "อภิจิต" ที่มองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ (New Possibility) ข้อจำกัดทั้งปวงจะมลายหายไป

2: จิตเห็นจิต-ทางลัดที่สั้นที่สุดสู่การบรรลุฉับพลัน

การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงไม่ใช่การนั่งสมาธิเพื่อเห็นภาพนิมิตอันวิจิตร แต่คือสภาวะที่จิตถอยออกมาเป็น "ผู้สังเกตการณ์" (The Observer) มองเห็นความคิดและอารมณ์ที่พุ่งพล่านแล้วจางหาย โดยที่ใจไม่ลงไปกระโดดร่วมวงกับอาการเหล่านั้น (วิญญาณัง ปัจจยา นามรูปัง)

เมื่อความโกรธเกิดขึ้น จิตมักหลงเข้าไปเป็น "ผู้โกรธ" นี่คืออาการที่จิตไม่เห็นจิต แต่หากเราสามารถ "รู้ซื่อๆ" โดยไม่เข้าไปแทรกแซงหรือตัดสิน (Non-judgmental Awareness) สติจะทำหน้าที่ประดุจกระจกเงาที่สะท้อนภาพทุกอย่างตามจริง กระจกไม่เคยโกรธเมื่อสะท้อนภาพอัปลักษณ์ และไม่เคยยินดีเมื่อสะท้อนภาพงดงาม ความมืดที่สะสมมานับหมื่นชาติสามารถดับลงได้ทันทีที่แสงสว่างแห่งปัญญาปรากฏขึ้น นี่คือ "การบรรลุฉับพลัน" ที่ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ แต่เป็นกฎธรรมชาติของจิตที่คืนกลับสู่ฐานเดิมที่ประภัสสร

3: การเพิกถอนอำนาจแห่ง "สัญญา" และ "สังขาร"

พันธนาการที่ลึกลับที่สุดซึ่งฉุดรั้งดวงจิตคือ "สัญญา" หรือตะกอนแห่งความทรงจำ มนุษย์ส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตอยู่กับเงาของอดีต ตัดสินวันนี้ด้วยความเจ็บปวดจากเมื่อวาน และกังวลถึงวันพรุ่งนี้ด้วยความกลัวที่ฝังใจ

การดูจิตในระดับที่ละเอียดคือการเห็น "การเกิดของความคิด" ก่อนที่มันจะกลายเป็นเรื่องราว (Narrative) เมื่อจิตเห็นความเห็นแวบขึ้นมาประดุจประกายไฟ และสติรู้เท่าทันทันที ความคิดนั้นจะสูญเสียพลังในการขับเคลื่อนอารมณ์ สภาวะนี้คือการตัดรากแก้วของต้นไม้พิษ จิตจะเริ่มสลัดทิ้งแม้กระทั่งความรู้ในตำราที่เคยแบกไว้ เพื่อกลับมาเป็น "เด็กทารกทางจิตวิญญาณ" ที่มองโลกด้วยตาที่บริสุทธิ์ ไร้การตีความ ไร้ความคาดหวัง

4: การดำรงอยู่เหนือสมมติและพลังแห่งการขอบคุณ

ผู้ที่เข้าถึง "อภิจิต" จะมีคุณลักษณะที่เด่นชัด ๓ ประการ:

  1. การอยู่กับปัจจุบัน (The Power of Now): ลมหายใจเข้าออกคือความจริงเพียงหนึ่งเดียว ความคิดที่ผุดขึ้นดับไปคือมายา เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน พลังงานจะถูกรวบรวมจนเกิดเป็นอำนาจดึงดูดที่ทรงพลัง
  2. สภาวะอารมณ์ระดับสูง (Elevated Emotion): การฝึกจิตให้รู้จัก "ขอบคุณ" (Gratitude) สิ่งรอบตัวเป็นความลับของการเปลี่ยนระดับแรงสั่นสะเทือนของจิต เมื่อเราขอบคุณ เรากำลังประกาศต่อจักรวาลว่าเรามีความมั่งคั่งอยู่แล้ว และตามกฎของควอนตัม สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดซึ่งกันและกัน
  3. การเป็นพยานผู้ไม่ก้าวก่าย: จิตเดิมแท้เปรียบเสมือนท้องฟ้า (The Sky) ส่วนอารมณ์ความรู้สึกเปรียบเสมือนเมฆ (Clouds) ท้องฟ้าไม่เคยเปียกปอนเพราะเมฆฝน และไม่เคยร้อนเพราะแสงแดด เมื่อเราสลับตำแหน่งจาก "ผู้เสวยอารมณ์" มาเป็น "ผู้ดูอารมณ์" ความทุกข์จะกลายเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่ว่างเปล่าในชั่วพริบตา

บทสรุป: ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหนือสังสารวัฏ

ในค่ำคืนแห่งการตื่นรู้ ขอให้ทุกดวงจิตจงย้อนกลับมาที่ "ตัวรู้" ในปัจจุบัน ความว่างที่อยู่เบื้องหลังความนึกคิดนี้คือบ้านที่แท้จริงของคุณ อย่าได้ประมาทในกาลเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในร่างมนุษย์ จงเร่งเพียรสังเกตจิตของตนเองจนกว่าจะเห็น "ผู้รู้" และ "สิ่งที่ถูกรู้" แยกขาดจากกัน และเห็นความไม่มีตัวตนในทุกสรรพสิ่ง (สัพเพ ธัมมา อนัตตา)

เมื่อนั้น ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจิตวิญญาณจะบังเกิดขึ้น กงล้อแห่งสังสารวัฏที่หมุนมาแสนนานจะหยุดนิ่งลง ณ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ท่านจะกลายเป็นผู้ที่ "อยู่กับโลกแต่ไม่เปื้อนโลก" มีความสุขที่เหนือเหตุปัจจัยทั้งปวง และเป็นเจ้าของความสำเร็จในทุกนิยามอย่างแท้จริง

แหล่งอ้างอิง (References)

  1. พระพุทธโคดม. (ม.ป.ป.). พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท (ว่าด้วยจิตเห็นจิตและการดับสังขาร).
  2. Tolle, E. (2004). The Power of Now: A Guide to Spiritual Enlightenment. New World Library. (แนวคิดเรื่องการอยู่กับปัจจุบันและการเป็นผู้สังเกตการณ์).
  3. Dispenza, J. (2017). Becoming Supernatural: How Common People Are Doing the Uncommon. Hay House, Inc. (การเชื่อมโยงระหว่างจิตวิทยาความสำเร็จและฟิสิกส์ควอนตัม).
  4. หลวงปู่ดุลย์ อตุโล. (๒๕๒๖). หลวงปู่ฝากไว้. (หลักการ "จิตเห็นจิต" และการส่งจิตออกนอกเป็นสมุทัย).
  5. Zukav, G. (1979). The Dancing Wu Li Masters: An Overview of the New Physics. William Morrow and Company. (ความสอดคล้องระหว่างฟิสิกส์ควอนตัมและวิถีแห่งตะวันออก).