In News
นายกฯหารือปธน.เวียดนามมาเยือนไทย ร่วมผลักดันศักยภาพเศรษฐกิจดิจิทัล

กรุงเทพฯ-นายกฯ หารือ ปธน.เวียดนาม ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ส่งเสริมความร่วมมือรอบด้าน ย้ำหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็ง พร้อมผลักดันศักยภาพด้านเศรษฐกิจดิจิทัล และนายกฯ และ ปธน.เวียดนาม ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนความตกลง พร้อมแถลงข่าวร่วม เน้นย้ำการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันอย่างรอบด้าน ขับเคลื่อนแนวทาง “Three Connects” รวมพลังทางเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2565) เวลา 16.00 น. ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นายเหวียน ซวน ฟุก ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในโอกาสการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาลไทย (Official Visit)
โดยนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเวียดนาม ได้ร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล จากนั้น นายกรัฐมนตรีเชิญประธานาธิบดีเวียดนามไปยังห้องสีงาช้างด้านนอก เพื่อลงนามในสมุดเยี่ยม และได้หารือความร่วมมือเต็มคณะ ในเวลา 16.25 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ผู้นำทั้งสองได้ร่วมกันหารือเกี่ยวกับความร่วมมือ โดยฝ่ายไทยมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมด้วย ดังนี้
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ให้การต้อนรับประธานาธิบดีเหวียน ซวน ฟุก และคณะผู้แทนเวียดนามที่เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในวันนี้ ซึ่งการเยือนครั้งนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการเยือนไทยครั้งแรกภายหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเวียดนาม และเป็นการเยือนไทยของประมุขแห่งรัฐของเวียดนามครั้งแรกในรอบ 24 ปี ซึ่งไทยและเวียดนามจะต้องจับมือกันเพื่อก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างเข้มแข็ง พร้อมยินดีที่ทั้งสองประเทศจะเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยเฉพาะในโอกาสที่ปีหน้าจะครบรอบ 10 ปีของการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์
ด้านประธานาธิบดีเวียดนามขอบคุณรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยที่ให้การต้อนรับอย่างเป็นเกียรติและเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรีที่อบอุ่นของความเป็นพี่น้องกัน ซึ่งที่ผ่านมา เวียดนามและไทยได้ทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง เกิดผลงานที่เป็นรูปธรรมขึ้นในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งไทยคือเพื่อนที่ใกล้ชิดที่เวียดนามให้ความสำคัญสามารถหารือเพื่อสร้างสรรค์ความร่วมมือ สร้างสันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ถือเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ทั้งในกรอบของอาเซียน ภูมิภาคและโลก พร้อมยินดีกับการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย ซึ่งเวียดนามยินดีสนับสนุนความร่วมมือเพื่อให้การประชุมเอเปคในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเวียดนามได้หารือในประเด็นความร่วมมือต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่
ด้านการเมืองและความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ไทยและเวียดนามมีการแลกเปลี่ยนการเยือนและหารือระดับสูงอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีอุปสรรคในสถานการณ์โควิด-19 โดยล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้ต้อนรับรองประธานาธิบดีเวียดนาม เยือนไทยเมื่อเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาสพบปะกับนายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่าจะได้เยือนเวียดนามเพื่อร่วมการประชุมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (JCR) ครั้งที่ 4 โดยวันพรุ่งนี้จะมีการจัดประชุมคณะกรรมการร่วมด้านความมั่นคงไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 4 ที่กระทรวงกลาโหม โดยเห็นพ้องที่จะจัดการประชุมคณะทำงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง (JWG on PSC) ครั้งที่ 12 ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งประธานาธิบดีฯ เสนอให้กระชับความร่วมมือระหว่างกองทัพเรือระหว่างประเทศ ตลอดจนการดูแลความมั่นคงด้านการประมงที่คำนึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลด้วย
ด้านเศรษฐกิจ ไทยและเวียดนามเป็นคู่ค้าที่สำคัญระหว่างกันในอาเซียน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเสนอให้ทั้งสองฝ่ายเร่งอนุญาตการนำเข้า – ส่งออกสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรประเภทผัก ผลไม้ ข้าว และสินค้าปศุสัตว์และเร่งรัดจัดทำความตกลงและกลไกเจรจาด้านการเกษตรระหว่างกัน โดยทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคการขนส่งสินค้าจากไทยผ่านเวียดนามไปประเทศที่สาม รวมทั้งเห็นพ้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญอื่น ๆ อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยาและเวชภัณฑ์ ด้านการลงทุน ทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนนักลงทุนให้เข้ามาทำธุรกิจระหว่างสองประเทศ พร้อมยินดีกับการจัดตั้งหอการค้าไทยในเวียดนาม หรือ ThaiCham เมื่อปี 2564 ซึ่งจะช่วยเพิ่มการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ด้านประธานาธิบดีเวียดนามเห็นว่า ทั้งสองประเทศต่างเป็นคู่ค้ารายใหญ่ซึ่งกันและกัน จำนวนกว่า 18,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ พร้อมชื่นชมที่ทั้งสองฝ่ายมีเสถียรภาพมากในการเพิ่มมูลค่าสินค้าต่างตอบแทน และยินดีที่จะขยายธุรกิจด้านพลังงานสีเขียว รวมทั้งโลจิสติกส์
ในส่วนของการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในด้านอื่น ๆ ได้แก่ ด้านคมนาคม - ทั้งสองฝ่ายจะเร่งเจรจาเพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างไทยกับเวียดนามในทุกด้านทางบก ผ่านการปรับปรุงถนน R12 ใน สปป. ลาว และการจัดทำความตกลงเดินรถโดยสารไทย - ลาว - เวียดนาม และทางน้ำผ่านความตกลงเดินเรือชายฝั่งไทย - กัมพูชา - เวียดนาม ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล - ธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารแห่งชาติเวียดนามได้เริ่มพัฒนาการเชื่อมโยงเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านระบบ QR code ระหว่างกัน โดยในอนาคตทั้งสองฝ่ายจะใช้ประโยชน์จากศักยภาพด้านเศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการเงิน e-commerce ด้าน 5G และ 6G
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวทาง Three Connects ใน 3 ด้าน ได้แก่
1. การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานหรือ supply chain ในอุตสาหกรรมที่เกื้อกูลกัน
2. การเชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากและท้องถิ่น โดยเฉพาะระหว่างภาคอีสานของไทย กับภาคกลางและภาคใต้ของเวียดนาม
3. การเชื่อมโยงนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวที่ยั่งยืน ผ่านการประสานนโยบายระหว่าง โมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทยกับยุทธศาสตร์การเติบโตสีเขียวของเวียดนาม ประธานาธิบดีเห็นพ้องกับนายกรัฐมนตรี และยินดีที่จะส่งเสริมผลิตผลข้าวเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันในภูมิภาค
ด้านการพัฒนาและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ทั้งสองฝ่ายพร้อมต่อยอดความร่วมมือด้านวัฒนธรรมมากขึ้น ผ่านวัฒนธรรมร่วมสมัยเพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งเสริมการพัฒนาของชุมชนชาวเวียดนามในไทย โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้จัดกิจกรรมฉลองการครบรอบ 45 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตในปีที่ผ่านมา รวมทั้งเห็นว่า เวียดนามเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์เมืองคู่มิตรกับไทยมากที่สุดเป็นอันดับต้น คือ 18 คู่ ซึ่งในวันนี้จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจเมืองคู่มิตรระหว่าง จังหวัดขอนแก่นกับนครดานังอีกคู่หนึ่งด้วย ขณะที่ประธานาธิบดีเวียดนามยินดีความชื่นชมบทบาทของสมาคมมิตรภาพของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีศักยภาพอย่างมากในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ด้านความเป็นหุ้นส่วนในอนุภูมิภาคและภูมิภาค ไทยและเวียดนามจะประสานท่าทีและความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนอนุภูมิภาคและภูมิภาค โดยเฉพาะกรอบ ACMECS และอาเซียน โดยเห็นพ้องที่จะสนับสนุนความเป็นเอกภาพภายในอาเซียนและร่วมกันแก้ไขปัญหาตาม ASEAN สำหรับความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการพัฒนา ACMECS เพื่อให้ประเทศลุ่มน้ำโขงร่วมกันกำหนดทิศทางอนาคตตัวเอง ในส่วนการบริหารจัดการน้ำ ทั้งสองฝ่ายเห็นควรส่งเสริมความร่วมมือกันให้มากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) นอกจากนี้ ไทยอยู่ระหว่างการหาเสียงให้จังหวัดภูเก็ตเป็นเจ้าภาพจัดงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษในปี 2028 โดยเชื่อมั่นว่า งาน Expo 2028 Phuket จะเป็นเวทีสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน ซึ่งประธานาธิบดีเวียดนามยินดีสนับสนุนไทยในการเลือกตั้งในกรอบองค์การนิทรรศการโลก (BIE) ในเดือนมิถุนายนของปีหน้า (2566) ที่กรุงปารีส
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีอวยพรและเป็นกำลังใจให้ประธานาธิบดีเวียดนามประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศ และขอให้ประธานาธิบดีเวียดนาม ซึ่งเป็น “มิตรแท้ของไทย” ช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเวียดนามให้มีความแน่นแฟ้นและก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไป
นายกฯ และ ปธน.เวียดนาม ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนความตกลง พร้อมแถลงข่าวร่วม เน้นย้ำการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันอย่างรอบด้าน ขับเคลื่อนแนวทาง “Three Connects” รวมพลังทางเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2565) เวลา 18.05 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนความตกลง 5 ฉบับ พร้อมกล่าวถ้อยแถลงในการแถลงข่าวร่วมกับ นายเหวียน ซวน ฟุก ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าวร่วม นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเวียดนามร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลง 5 ฉบับ ได้แก่
1. แผนปฏิบัติการว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งไทย - เวียดนามในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2565-2570)
2. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันในคดีแพ่ง
3. บันทึกความเข้าใจเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องระหว่างราชอาณาจักรไทยกับนครดานัง
4. บันทึกความเข้าใจระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกับหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งเวียดนาม และ
5. สัญญาสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยหรือ เอ็กซิมแบงค์ กับธนาคารพาณิชย์เพื่อการค้าระหว่างประเทศแห่งเวียดนาม
ในส่วนของถ้อยแถลงการแถลงข่าวร่วม นายกรัฐมนตรีกล่าวเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมเวียดนามในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ โดยการเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไทย เวียดนาม และประเทศในภูมิภาคต่างกำลังเผชิญความท้าทายทางการเมืองและเศรษฐกิจจากความผันผวนในสถานการณ์ระหว่างประเทศ ทุกประเทศกำลังเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทั้งสองประเทศจะต้องช่วยกันขับเคลื่อนการเร่งฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ และพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งในวันพรุ่งนี้จะมีกิจกรรมทางธุรกิจไทย-เวียดนาม นักธุรกิจของทั้งสองประเทศจะมารวมตัวกันกว่า 300 คน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเปิดศักราชใหม่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน โดยเฉพาะในโอกาสที่จะครบรอบ 10 ปีของการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในปีหน้า ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เรียนเชิญ นายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนามเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และจะประสานงานเพื่อจัดการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (JCR) ครั้งที่ 4 ที่เวียดนาม
ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมเวียดนาม ทั้งสองฝ่ายได้หารือประเด็นสำคัญร่วมกัน โดยมีผลลัพธ์ที่สำคัญ ดังนี้
ด้านการเมืองและความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพและความมั่นคงร่วมกัน โดยจะแลกเปลี่ยนการเยือนและการปรึกษาหารือในกรอบและกลไกด้านการเมือง ความมั่นคง และการทหาร ทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ เพื่อส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างกัน
ด้านเศรษฐกิจ ไทยและเวียดนามเห็นพ้องกันที่จะผลักดันความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคมของทั้งสองประเทศและภูมิภาค ครอบคลุมทั้งการค้า การลงทุน ความเชื่อมโยงทางคมนาคม การเงินการธนาคาร และเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งจะเร่งอำนวยความสะดวก ลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน นอกจากนี้ ไทยและเวียดนามจะรวมพลังทางเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงไปข้างหน้ายิ่งขึ้น ตามแนวทาง “ทรีคอนเน็กซ์” (Three Connects) คือ 1. การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในสาขาที่เกื้อกูลกัน 2. การเชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากและผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยเฉพาะภาคอีสานของไทยกับภาคกลางและภาคใต้ของเวียดนาม และ 3. การเชื่อมโยงนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว โดยเฉพาะ BCG กับนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวของเวียดนาม
ด้านการพัฒนาและประชาชน ทั้งสองฝ่ายมุ่งมั่นส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนเพื่อพัฒนาและแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ยกระดับความกินดีอยู่ดีของประชาชน โดยเฉพาะผ่านโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ประชาชนและท้องถิ่นเวียดนามจะได้รับประโยชน์จากโครงการให้ความช่วยเหลือจากไทย รวมทั้งจะใช้ประโยชน์จากกรอบกลไกความร่วมมือในระดับประชาชนและท้องถิ่นระหว่างจังหวัดไทยและเวียดนาม และสมาคมมิตรภาพต่าง ๆ
ด้านความท้าทายในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าควรประสานท่าที และความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคและภูมิภาค โดยเฉพาะในกรอบ ACMECS และอาเซียน เพื่อให้ภูมิภาคนี้มีสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรือง พร้อมให้ความสำคัญกับความเป็นเอกภาพและความเข้มแข็งของอาเซียน รวมทั้งไทยและเวียดนามมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องเมียนมา คือต้องการให้คลี่คลายสถานการณ์และความเป็นปกติสุขกลับคืนสู่เมียนมาโดยเร็ว โดยเชื่อว่าการดำเนินการของอาเซียนตามแนวทาง ASEAN Way บนพื้นฐานของความร่วมมือ การปรึกษาหารือกัน และฉันทามติร่วมกัน (Cooperation, Consultation, Consensus) จะคลี่คลายปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์
ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าวร่วม นายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเยี่ยมชมการจัดแสดงผลิตภัณฑ์หัตถกรรมและหัตถศิลป์ของไทย ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี และนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก