Health & Beauty

กรมควบคุมโรคร่วมโนโวนอร์ดิสค์ฟาร์มา เปิดเวทีแลกเปลี่ยนแก้ไขวิกฤตโรคอ้วน



กรุงเทพฯ-โรคอ้วนกลายเป็นวิกฤตทางสาธารณสุขที่ทั่วโลกต้องเร่งแก้ไข จากข้อมูลของสหพันธ์โรคอ้วน (World Obesity Federation) ปีพ.ศ. 2563 พบว่าผู้คนราว 1 พันล้านคน หรือ 1 ใน 7 ทั่วโลกกำลังเผชิญกับโรคอ้วน ขณะที่รายงาน World Health Statistics ค.ศ. 2023 ขององค์การอนามัยโลกระบุว่า 39% ของผู้ใหญ่ หรือ 1.9 พันล้านคนมีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน สำหรับประเทศไทย ข้อมูลปีพ.ศ. 2566 จากกระทรวงสาธารณสุขพบว่าคนไทยที่มีน้ำหนักเกินและอ้วนสูงถึง 48.35% สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นและความจำเป็นในการจัดการปัญหาโรคอ้วนอย่างจริงจัง

บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทเวชภัณฑ์ยานวัตกรรมชั้นนำระดับโลก จึงได้ร่วมกับ กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร เปิดเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการดูแลรักษาโรคอ้วนแบบองค์รวม ในหลักสูตรการฝึกอบรม ‘แนวทางการดูแลรักษาผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน’ หรือ ‘HCP Obesity Curriculum Comprehensive Module’ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์มีแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน ลดภาวะแทรกซ้อน รวมถึงบูรณาการแนวทางการรักษาโรคอ้วนในทุกมิติอย่างครอบคลุม ทั้งการดูแลป้องกัน และการรักษาที่ยั่งยืน โดยสหสาขาวิชาชีพ

นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวเปิดงานด้วยการเน้นบทบาทสำคัญของแพทย์ในการลดจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) โดยระบุว่า นโยบายสาธารณสุข มุ่งเป้าไปที่การลดการเจ็บป่วยจาก NCD และการควบคุมโรคเบาหวานตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นประจักษ์แล้วว่า การลดน้ำหนัก 15% จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานเข้าสู่ภาวะสงบ การป้องกันและรักษาโรคอ้วนจึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศในการลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคเรื้อรัง รวมถึงโรคมะเร็ง ซึ่งผู้ที่เป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคต่างๆ มากกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติหลายเท่า ดังนั้น การจัดการน้ำหนักไม่เพียงแค่เรื่องรูปร่าง แต่ยังเป็นการลดความเสี่ยงจากโรคร้ายแรงอีกด้วย

รศ.พญ.ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย สาขาวิชาโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงการดูแลโรคอ้วนว่า แพทย์ควรวินิจฉัยและติดตามผลอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ เนื่องจากโรคอ้วนมีปัจจัยหลายด้านที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นโภชนาการ พันธุกรรม และสภาพจิตใจ ซึ่งการรักษาจะต้องมีการปรับแนวทางให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยสามารถแบ่งการรักษาได้เป็น 3 วิธีหลัก ได้แก่

1.การปรับพฤติกรรมและโภชนาการ ที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ 5-10% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น

2.การใช้ยา โดยเฉพาะในผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 27 กก./ตร.ม. ขึ้นไป และมีโรคร่วม หรือ BMI 30 กก./ตร.ม. ขึ้นไป ซึ่งในกลุ่มนี้ ยากลุ่ม GLP-1 receptor agonists สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ถึง 10-20% และยังสามารถใช้รักษาโรคอ้วนในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปได้ ยากลุ่มนี้ทำงานโดยเลียนแบบฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและรับประทานอาหารได้น้อยลง

3.การผ่าตัดกระเพาะอาหาร สำหรับผู้ที่มี BMI 35 กก./ตร.ม. ขึ้นไปและมีโรคร่วม หรือ BMI 40 กก./ตร.ม. ขึ้นไป ซึ่งสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ 20-40%

นพ.เอกราช อริยะชัยพาณิชย์ สาขาวิชาโรคหัวใจและหลอดเลือด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่าง ‘โรคหัวใจ’ กับ ‘โรคอ้วน’ ว่าไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าอ้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายและอัมพฤกษ์-อัมพาต โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยมีทั้งโรคหัวใจและโรคอ้วน จะยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ หรือแม้แต่โรคกล้ามเนื้อหัวใจ นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสการเกิดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาอีกหลายโรค ฉะนั้น การลดน้ำหนักตัว 15% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้นได้อีกด้วย

ผศ.พญ.อรภา สุธีโรจน์ตระกูล กุมารแพทย์อนุสาขาโภชนาการ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงสถานการณ์โรคอ้วนในเด็กและวัยรุ่นทั่วโลกว่า ในช่วงอายุ 5-19 ปี มีผู้ที่มีน้ำหนักเกินและอ้วนถึง 175 ล้านคน โดยในประเทศไทยมีความชุกของโรคอ้วนในเด็กสูงถึง 10-15% เป็นตัวเลขที่น่ากังวล ซึ่งโรคอ้วนในเด็กไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสุขภาพในวัยเด็ก แต่ยังเพิ่มโอกาสในการเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนและเสี่ยงโรคเรื้อรังต่างๆ อีกด้วย การแก้ไขปัญหานี้ต้องเริ่มจากการปรับทัศนคติของพ่อแม่และคนในครอบครัวให้ตระหนักว่าโรคอ้วนเป็นปัญหาสำคัญ และต้องร่วมมือกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและโภชนาการของเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ  

รศ.ดร.นพ.วรุตม์ อุ่นจิตสกุล สาขาวิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวถึง บทบาทของจิตแพทย์ในการรักษาโรคอ้วนว่า “มุมมองทางจิตใจและสังคมมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินและรักษาผู้ป่วยที่มีค่า BMI สูงเกินเกณฑ์ หรือก่อนการผ่าตัดโรคอ้วน การใช้ความคิดและพฤติกรรมบำบัด หรือ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) ในการรักษาผู้ป่วยจึงมีความสำคัญ ผู้ป่วยอาจมีปัญหาความคิด เช่น ‘กินแล้วหายเครียด’ 'ชีวิตคงไม่มีทางผอม' หรือปัญหาทางพฤติกรรม เช่น 'ชอบทานน้ำหวาน' การใช้ CBT จะช่วยให้ ผู้ป่วยตระหนักถึงความคิดและพฤติกรรมที่ทำให้เกิดโรคอ้วน พร้อมทั้งช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมการ กินไปสู่ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น”

ด้าน ผศ.(พิเศษ)พญ.พัชญา บุญชยาอนันต์ สาขาวิชาต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวถึงความสำคัญของการจัดตั้ง ‘คลินิกโรคอ้วน’ เป็นอีกก้าวสำคัญในการลดจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนและโรค NCDs โดยใช้ทีมแพทย์จากหลายสาขา (Multidisciplinary Teams - MDT) เพราะโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังที่มีความซับซ้อนและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลายด้าน เช่น ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร หรือสุขภาพจิต การดูแลต้องอาศัยการร่วมมือจากหลายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยทีมแพทย์จะร่วมกำหนดเป้าหมายกับผู้ป่วย เพื่อให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ คลินิกโรคอ้วนสามารถจัดตั้งได้หลายขนาด ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทีมแพทย์และสถานพยาบาล โดยเบื้องต้นควรมีแพทย์ทั่วไปหรือแพทย์เฉพาะทางประสานงานกับทีมสหสาขา เช่น ศัลยแพทย์ นักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ และพยาบาล เพื่อการดูแลที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ

การแก้ไขปัญหาโรคอ้วนจำเป็นต้องบูรณาการหลายมิติอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการรักษาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งการปรับพฤติกรรม, โภชนาการ, การใช้ยา, การผ่าตัด และการสนับสนุนทางจิตวิทยา เพื่อให้เกิดการลดน้ำหนักและป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการพัฒนาแนวทางการรักษาที่เป็นมาตรฐานและยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมการตั้งคลินิกโรคอ้วนที่ใช้ทีมแพทย์หลายสาขามาร่วมดูแล เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังต่างๆ ทั้งโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็งบางชนิด ซึ่งการทำงานร่วมกันในเชิงบูรณาการจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดภาระโรคอ้วนและสร้างสุขภาพที่ยั่งยืนในอนาคต