In Thailand
ชาวหนองประดู่กาญจน์ได้น้ำบาดาลแล้ว! ผอ.สทบ.เขต2(สุพรรณบุรี)ช่วยแก้ภัยแล้ง

กาญจนบุรี-ชาวบ้านหนองประดู่ กาญจน์ เตรียมเฮ !ผอ.สทบ.เขต 2 (สุพรรณบุรี) ผุด โครงการศึกษาสำรวจและพัฒนาน้ำบาดาลในพื้นที่หาน้ำยาก คาด หากแล้วเสร็จ ปชช.ได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 7 หมู่บ้าน 2,600 ครัวเรือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ค.68 นายทนงศักดิ์ ล้อชูสกุล ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 2 (สุพรรณบุรี) เปิดเผยว่า " พื้นที่ตำบลหนองประดู่ อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ถูกขนานนามว่า “อีสานแห่งภาคกลาง” ซึ่งประกอบไปด้วย 5 อำเภอในจังหวัดกาญจนบุรี ได้แก่ อำเภอเลาขวัญ อำเภอบ่อพลอย อำเภอหนองปรือ อำเภอห้วยกระเจา และอำเภอพนมทวน โดยเฉพาะตำบลหนองประดู่ อำเภอเลาขวัญ เป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำทั้งเพื่อการอุปโภค-บริโภค และเพื่อการเกษตรรุนแรงมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบเชิงเขา เป็นพื้นที่เขตเงาฝน หรือ Rain shadow ทำให้ในแต่ละปีจะมีปริมาณฝนตกเฉลี่ยต่ำกว่าพื้นที่โดยทั่วไป อีกทั้งยังอยู่นอกเขตชลประทาน ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน คลองธรรมชาติจะมีน้ำเฉพาะช่วงฤดูฝน อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กเพียงแห่งเดียวที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับผลิตระบบประปา คืออ่างเก็บน้ำหนองไก่เหลือง มีขนาดความจุเพียง 1.14 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถบริการน้ำให้กับประชาชนได้เพียง 670 ลูกบาศก์เมตร/ต่อวัน ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมีมากถึง 1,100 ลูกบาศก์เมตร/ต่อวัน ดังนั้นในช่วงหน้าแล้งของทุกปีชาวบ้านจะเดือดร้อนเรื่องน้ำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำกินน้ำใช้ ส่วนเรื่องน้ำเพื่อการเกษตรก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะน้ำจะกินจะใช้ยังไม่มีเลย
ที่ผ่านมาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองประดู่ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนเรื่องน้ำให้กับประชาชน แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะการขุดสระไว้เก็บน้ำก็มีน้ำเพียงหน้าฝน พอหน้าแล้งน้ำในสระก็แห้ง อีกทั้งยังมีตะกอนขุ่นข้นและคุณภาพน้ำเสื่อมโทรม เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่มีการปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง ทำให้มีการใช้สารเคมีกันอย่างเข้มข้น ส่งผลให้สารพิษจากปุ๋ย ยาฆ่าหญ้าและแมลง ปนเปื้อนในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ
จากสภาพดังกล่าวชาวบ้านต้องพึ่งพาตนเอง ด้วยการซื้อน้ำจากภาคเอกชนมาไว้ใช้ในครัวเรือน ทำให้มีค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือนจำนวนหลายพันบาทต่อเดือน ซึ่งทางองค์การส่วนตำบลหนองประดู่ก็ทำได้เพียงบรรทุกน้ำไปแจกจ่ายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น และทำเช่นนี้มาเป็นระยะเวลาช้านาน ถือเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณของทางราชการอย่างมหาศาล แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้"
นายทนงศักดิ์ เปิดเผยต่อไปว่า " ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายให้ความสำคัญเรื่องการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ให้ประชาชนมีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างทั่วถึง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล แก้ไขปัญหาการ
ขาดแคลนน้ำในพื้นที่หาน้ำยาก เพื่อหาทางนำน้ำบาดาลมาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ที่ผ่านมากรมทรัพยากรน้ำบาดาล โดยสำนักสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาล ร่วมกับสำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 2 (สุพรรณบุรี) ได้ดำเนินโครงการสำรวจและจัดทำแผนที่ศักยภาพน้ำบาดาลสำหรับการบริหารจัดการน้ำบาดาลพื้นที่ภัยแล้งซ้ำซาก แอ่งหนองฝ้าย (ระยะที่ 1) และโครงการศึกษาสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาลในพื้นที่หาน้ำยากเพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนและสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ (ระยะที่ 1) โดยทำการสำรวจค้นหาแหล่งน้ำบาดาลใหม่ ในพื้นที่ตำบลหนองประดู่ อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี พบว่ามีความเป็นไปได้ ที่จะพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลที่มีศักยภาพสูงและสามารถใช้เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับทำระบบประปาบาดาลได้เพียงพอ หากแต่การที่จะพัฒนาน้ำบาดาลให้มีปริมาณน้ำมากเพียงพอต่อความต้องการ จำเป็นต้องเจาะในระดับที่ลึกมากกว่า 150 เมตร เครื่องจักรต้องมีประสิทธิภาพสูงและใช้เวลาในการดำเนินการมาก จึงมีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่เหมาะสมในการเจาะและพัฒนาบ่อน้ำบาดาลเข้ามาใช้ เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพการให้น้ำของบ่อน้ำบาดาลอย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงได้จัดทำ “โครงการศึกษา สำรวจและพัฒนาน้ำบาดาลในพื้นที่หาน้ำยาก ตำบลหนองประดู่ อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี”
โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล ในการสำรวจความเหมาะสมทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ในพื้นที่ตำบลหนองประดู่ อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อให้ทราบถึงปริมาณน้ำบาดาลที่เหมาะสมและเพียงพอ
พร้อมทั้งกำหนดพื้นที่และออกแบบระบบประปาฯ ให้สอดคล้องกับอุทกธรณีวิทยาและความต้องการใช้น้ำ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว และเพื่อให้ได้รูปแบบและแนวทางการพัฒนาน้ำบาดาลในพื้นที่หาน้ำยากให้เหมาะสมกับสภาพอุทกธรณีวิทยาและสภาพพื้นที่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาล ภายใต้การมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเป็นต้นแบบด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาลในพื้นที่หาน้ำยากที่มีลักษณะอุทกธรณีวิทยาคล้ายๆ กันต่อไป หากดำเนินการโครงการแล้วเสร็จจะมีประชาชนได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 7 หมู่บ้าน 2,600 ครัวเรือน หรือ 7,000 คน ปริมาณน้ำรวม 492,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปีเลยทีเดียว” นายทนงศักดิ์ ล้อชูสกุล ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 2 (สุพรรณบุรี) กล่าว
ญาณภัทร์ ศิลปะขจร/กาญจนบุรี