In News

นายกฯต้อนรับนายกฯอินโดฯมาเยือนไทย ชง7ด้านสานสัมพันธ์'หุ้นส่วนยุทธศาสตร์'



กรุงเทพฯ-สัมพันธไมตรีที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศ นายกฯ ให้การต้อนรับ ปธน.อินโดนีเซีย เยือนไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมหารือเต็มคณะ ภายใต้กลไก Leaders’ Consultation ครั้งแรกฉลองความสัมพันธ์ 75 ปี อย่างยิ่งใหญ่ ยกระดับเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” ปูทางความร่วมมือไทย-อินโดนีเซียในทุกมิติร่วมกันและไทย-อินโดนีเซีย ปักหมุดอนาคต! เปิดศักราชใหม่แห่งความร่วมมือระดับผู้นำ ยกระดับความสัมพันธ์สู่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ พร้อมจับมือพัฒนาสาธารณสุข-ความมั่นคง-เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2568) เวลา 10.05 น. ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ นายปราโบโว ซูบียันโต (H.E. Mr. Prabowo Subianto) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในโอกาสการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล

นายกรัฐมนตรีไทยและประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้ร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า จากนั้น นายกรัฐมนตรีเชิญประธานาธิบดีอินโดนีเซียไปยังห้องสีม่วงเพื่อแนะนำคณะรัฐมนตรี และไปยังห้องสีงาช้างด้านนอก เพื่อลงนามในสมุดเยี่ยมและชมของที่ระลึกที่ทั้งสองฝ่ายมอบให้แก่กัน หลังจากนั้น เวลา 10.20 น. นายกรัฐมนตรีทั้งสองร่วมหารือทวิภาคีเต็มคณะ ภายใต้กลไกหารือระดับผู้นำ (Leaders’ Consultation) ครั้งที่ 1 ณ ตึกภักดีบดินทร์ 

โดยภายหลังเสร็จสิ้น สรุปสาระสำคัญของการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ให้การต้อนรับประธานาธิบดีอินโดนีเซียเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบ 20 ปี ถือเป็นโอกาสอันดีในการเน้นย้ำถึงมิตรภาพอันยาวนานระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย ตลอดจนเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในปีนี้ ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน 

ประธานาธิบดีอินโดนีเซียขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินโดนีเซียที่มีความใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน ตลอดจนยินดีต่อการยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย - อินโดนีเซียเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ซึ่งจะเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ระหว่างกัน นอกจากนี้ ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเชื่อมั่นว่า การหารือระหว่างกันภายใต้กลไกหารือระดับผู้นำ (Leaders’ Consultation) จะช่วยผลักดันความร่วมมือระหว่างกันให้คืบหน้าได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น โดยอินโดนีเซียพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการหารือระดับผู้นำร่วมกันในครั้งต่อไป พร้อมเชิญนายกรัฐมนตรีและคณะเยือนอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป 

โอกาสนี้ ผู้นำทั้งสองได้หารือร่วมกันเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน ดังนี้

1. ความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย - อินโดนีเซียเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ซึ่งนับเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนว่า ทั้งสองประเทศกำลังก้าวไปสู่ความร่วมมือในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยนายกรัฐมนตรียินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดการหารือระดับผู้นำไทย-อินโดนีเซีย เป็นครั้งแรกในวันนี้ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในระดับผู้นำให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ผู้นำทั้งสองฝ่ายควรพบปะกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อประสานความร่วมมือระหว่างกัน พร้อมทั้งผลักดันให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูงระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศร่วมกันจัดทำแผนยุทธศาสตร์ (Plan of Action) ที่มีเป้าหมายชัดเจน เพื่อสนับสนุนความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น 

2. ความร่วมมือด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายพร้อมเพิ่มพูนความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางออนไลน์ (Online Scam) การค้ามนุษย์ และยาเสพติด ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด พร้อมขอให้ฝ่ายอินโดนีเซียแบ่งปันข้อมูลการสอบสวนชาวอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งไทยได้ให้ความช่วยเหลือจากเมียนมาอย่างปลอดภัย เพื่อขยายผลการสอบสวนต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่าทั้งสองฝ่ายควรร่วมกันผลักดันการจัดทำความตกลงเกี่ยวกับการโอนตัวนักโทษ โดยไทยพร้อมยกร่างความตกลงระหว่างกัน

ด้านประธานาธิบดีอินโดนีเซียขอบคุณรัฐบาลไทยสำหรับการให้ความช่วยเหลือชาวอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ อินโดนีเซียพร้อมร่วมมือกับฝ่ายไทยอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน นอกจากนี้ ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกันได้อีกมาก โดยเฉพาะความร่วมมือในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ความร่วมมือระหว่างกองทัพ ทั้งในด้านการเพิ่มการฝึกร่วมกันและความร่วมมือด้านการศึกษา

3. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ไทยและอินโดนีเซียยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนการค้าระหว่างกันได้อีกมาก โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย - อินโดนีเซีย ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นครั้งแรกภายในปีนี้ เพื่อเป็นกลไกหลักในการเพิ่มปริมาณการค้า ลดอุปสรรค และส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรม 

นอกจากนี้ ไทยและอินโดนีเซียมีการลงทุนระหว่างกันเป็นจำนวนมาก โดยภาคเอกชนไทยสนใจขยายการลงทุนในอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคพลังงาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ฝ่ายอินโดนีเซียช่วยคุ้มครองและสนับสนุนการลงทุนของเอกชนไทย รวมถึงแก้ไขปัญหาอุปสรรคของภาคเอกชนไทยในอินโดนีเซีย ตลอดจนเชิญชวนภาคเอกชนอินโดนีเซียให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นในสาขาที่มีศักยภาพร่วมกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทย (BOI) ของไทยกับคณะกรรมการประสานงานการลงทุนของอินโดนีเซีย (Indonesian Investment Coordinating Board: BKPM) ประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันการลงทุนระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีอินโดนีเซียพร้อมให้การสนับสนุนภาคเอกชนไทยในอินโดนีเซีย และเชิญชวนภาคเอกชนไทยร่วมลงทุนในกองทุน Danantara ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (sovereign wealth fund) ที่รัฐบาลอินโดนีเซียชุดปัจจุบันตั้งขึ้นใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของรัฐวิสาหกิจอินโดนีเซีย โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนภาคเอกชนไทยในการเข้าไปแสวงหาโอกาสการลงทุนในอินโดนีเซียเพิ่มเติมต่อไป

4. ความร่วมมือด้านการเกษตร การประมง และความมั่นคงทางอาหาร นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการต่ออายุบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการค้าข้าว โดยไทยพร้อมจำหน่ายข้าวเพิ่มเติมให้กับอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของอินโดนีเซีย พร้อมทั้งผลักดันให้มีการเปิดตลาดสินค้าเกษตร โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ปศุสัตว์ และผลไม้สด รวมถึงสนับสนุนให้มีการจัดตั้ง Halal Task Force ระหว่างกัน เพื่อประสานมาตรฐานสินค้าฮาลาลของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการจัดตั้ง Working Group สองฝ่าย เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมทุนในอุตสาหกรรมประมง เพื่อส่งเสริมการทำการประมงอย่างยั่งยืนและความมั่นคงทางอาหาร ทั้งนี้ ประธานาธิบดีอินโดนีเซียขอบคุณไทยที่สนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของอินโดนีเซีย โดยพร้อมมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับไทยต่อไป รวมถึงเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ โดยเฉพาะด้านความยั่งยืนและพลังงานสะอาด

5. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ไทยและอินโดนีเซียมีการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น โดยนายรัฐมนตรีเสนอให้ทั้งสองฝ่ายทำการตลาดร่วมกัน สำหรับการท่องเที่ยวเรือสำราญและเรือยอร์ช การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุม สัมมนา การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การแสดงสินค้า และนิทรรศการระดับนานาชาติ (MICE Tourism) 

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการเตรียมเปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างเมืองสุราบายา - กรุงเทพฯ และเมืองเมดาน - กรุงเทพฯ ของสายการบิน Lion Air และเส้นทางระหว่างเมืองเมดาน - ภูเก็ต ของสายการบิน AirAsia โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าจะช่วยสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างทั้งสองประเทศ พร้อมเสนอให้หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศจัดทำแคมเปญร่วมกันสำหรับเส้นทางการบินใหม่เหล่านี้ และสำรวจความเป็นไปได้ในการเปิดเส้นทางการบินเพิ่มเติมระหว่างเมืองน่าเที่ยวของทั้งสองประเทศต่อไป

6. ความมั่นคงของมนุษย์ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขที่ลงนามร่วมกันในวันนี้ จะเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน โดยเฉพาะโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายควรเร่งสรุปบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการควบคุมผลิตภัณฑ์อาหารและยาให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ตลอดจนเพิ่มพูนความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเพื่อศึกษาต่อที่อินโดนีเซีย

7. ความร่วมมือในระดับภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ โดยเฉพาะการผลักดันการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและอำนาจต่อรองของอาเซียนท่ามกลางความผันผวนของการเมืองและเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งรวมถึงมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา โดยทั้งสองฝ่ายควรมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในการเจรจากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนบทบาทนำของอาเซียนในเรื่องเมียนมา โดยไทยพร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับประธานอาเซียน เพื่อนำสันติภาพกลับคืนสู่เมียนมา โอกาสนี้ ประธานาธิบดีอินโดนีเซียยืนยันว่า อินโดนีเซียพร้อมให้การสนับสนุนไทยในการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS อย่างเต็มรูปแบบ

ไทย-อินโดนีเซียปักหมุดอนาคต!ร่วมกัน

เมื่อเวลา 11.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร และ นายปราโบโว ซูบียันโต (H.E. Mr. Prabowo Subianto) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยงานของไทยและอินโดนีเซีย จำนวน 1 ฉบับ คือ 

บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข (Memorandum of Understanding Between The Ministry of Public Health of the Kingdom of Thailand and The Ministry of Health of the Republic of Indonesia on Health Cooperation) โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และ H.E. Mr. Sugiono รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เป็นผู้ลงนามฝ่ายอินโดนีเซีย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับอินโดนีเซียและพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขในสาขาต่าง ๆ เช่น การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพและระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ ความมั่นคงด้านยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ การเงินการคลังด้านสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น 

จากนั้น นายกรัฐมนตรีไทยและประธานาธิบดีอินโดนีเซียแถลงข่าวร่วมกัน โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการแถลงข่าว ดังนี้

นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ในการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ไทยและอินโดนีเซียมีมิตรภาพอันยาวนานกว่า 150 ปี โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ เยือนต่างประเทศครั้งแรกที่เกาะชวาในปี พ.ศ. 2414 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยการเยือนของประธานาธิบดีอินโดนีเซียในวันนี้ เป็นการยืนยันถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้น และเป็นหมุดหมายสำคัญในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับอินโดนีเซียในปีนี้

ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นมิตร ผ่านการเป็นประธานร่วมในกลไกใหม่ เรียกว่า “การประชุมหารือระดับผู้นำ” เป็นครั้งแรก ซึ่งจะเป็นกลไกที่ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศอย่างสม่ำเสมอในอนาคต 

ผู้นำทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะประกาศว่า ทั้งสองประเทศได้ยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการเสริมสร้างความร่วมมือในหลากหลายมิติในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยในฐานะประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน และมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ในภูมิภาค ไทยและอินโดนีเซียจะร่วมมือกันเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียนท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนในเชิงภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงประเด็นสำคัญจากการหารือ ดังนี้

ด้านความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคง เห็นพ้องที่จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนและการหารือระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ และใช้ประโยชน์จากกลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างเต็มที่ โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายร่วมกันจัดทำ “แผนปฏิบัติการหุ้นส่วนยุทธศาสตร์” เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในปีนี้ นอกจากนี้ กองทัพของทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในทุกมิติ พร้อมศึกษาแนวทางความร่วมมือในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมทั้งตำรวจไทยและอินโดนีเซียจะเสริมสร้างความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางออนไลน์ การค้ามนุษย์ และการค้ายาเสพติด

ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เห็นพ้องที่จะส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศให้มากยิ่งขึ้น โดยในปี 2567 การค้าระหว่างไทยกับอินโดนีเซียมีมูลค่าสูงถึง 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และด้วยขนาดของตลาดและการเชื่อมโยงที่มีอยู่ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่ายังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองประเทศ แต่จะรวมถึงภูมิภาคอาเซียนโดยรวมด้วย ดังนั้น ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการการค้าร่วม (Joint Trade Committee) ครั้งที่ 1 ภายในปีนี้ เพื่อหารือแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือดังกล่าว 

ผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ และส่งเสริมให้ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศศึกษาความได้เปรียบและศักยภาพการลงทุน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณประธานาธิบดีอินโดนีเซียที่ให้การสนับสนุนบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจในอินโดนีเซียมาโดยตลอด และได้ขอให้ดูแลบริษัทเหล่านี้ให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่นด้วย

ด้านความมั่นคงทางอาหาร เห็นพ้องที่จะฟื้นฟูและส่งเสริมความร่วมมือ โดยเฉพาะการค้าสินค้าเกษตร รวมถึงอุตสาหกรรมฮาลาล และจะศึกษาความเป็นไปได้ในการเป็นหุ้นส่วนด้านการทำประมงอย่างยั่งยืน รวมทั้งเพิ่มความร่วมมือด้านความมั่นคงทางพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสีเขียว

ด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการเปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างกรุงเทพฯ ประเทศไทย กับเมืองสุราบายาและเมืองเมดาน อินโดนีเซีย และการเปิดเส้นทางการบินระหว่างภูเก็ต-เมดานในอนาคต ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกรุงเทพฯ และภูเก็ต กับชวาตะวันออกและสุมาตราเหนือ และการเชื่อมโยงในภูมิภาค พร้อมทั้งหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศจะหารือเพื่อทำการตลาดร่วมในเส้นทางบินใหม่ รวมทั้งเห็นพ้องว่า ยังมีจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในทั้งสองประเทศที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ และจะร่วมกันพิจารณาต่อไป

ด้านสาธารณสุขและการศึกษา ในฐานะที่ไทยและอินโดนีเซีย เป็นสมาชิกกลุ่มนโยบายต่างประเทศและสุขภาพโลก (Foreign Policy and Global Health Group) ที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดภายใต้กรอบองค์การสหประชาชาติ ไทยพร้อมจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่ปี 2544 ในเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่อินโดนีเซีย

ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งสองฝ่ายย้ำถึงพันธกิจร่วมกันในการส่งเสริมความเป็นเอกภาพและความเป็นแกนกลางของอาเซียน ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีความผันผวนในด้านการเมือง

และเศรษฐกิจ โดยจะร่วมผลักดันการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจและสังคมของอาเซียนอย่างทั่วถึงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น รวมถึงเสริมสร้างเสถียรภาพในระดับภูมิภาค

ผู้นำทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกันในการเห็นเมียนมาเป็นประเทศที่สงบสุข มีเสถียรภาพ และเป็นปึกแผ่น ไทยและอินโดนีเซีย ในฐานะมิตรที่ดีของเมียนมา จะร่วมมือกับมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เพื่อช่วยสนับสนุนให้เกิดสันติภาพในเมียนมา โดยอาเซียนเป็นผู้มีบทบาทนำ  

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณประธานาธิบดีอินโดนีเซียสำหรับมิตรภาพอันอบอุ่น และหวังว่าจะได้มีโอกาสเยือนอินโดนีเซียในอนาคตอันใกล้นี้