Think In Truth
ถอดแนวคิดความมั่นคงชายแดนมุมมอง นักศึกษา'วปอ.บอ.'4ด้านสะท้อนเส้นแบ่ง

กรุงเทพฯ-ชายแดนไทย-เมียนมา ที่ทอดยาวกว่า 2,400 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ทางฝั่งตะวันตกของไทย ตั้งแต่เชียงรายไปจนถึงและระนอง ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นแบ่งระหว่างรัฐ แต่คือเส้นเขตแดนที่เชื่อมโยงผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ วัฒนธรรม เครือข่ายเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาอย่างยาวนาน แต่ภายหลังสถานการณ์การเมืองในเมียนมาตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา พื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยโอกาสนี้ กลับกลายเป็นความท้าทายที่ส่งผลกระทบบางประเด็นมาถึงประเทศไทย ดังนั้น การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนจึงไม่ใช่เพียงแค่ภารกิจของกองทัพในเรื่องการปกป้องพรมแดนเท่านั้น แต่เป็นโจทย์เชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องผสมผสานความเข้าใจในพื้นที่ สังคม วัฒนธรรม ผู้คน เศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการประสานความร่วมมือระดับภูมิภาค
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ได้มีการนำนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) รุ่นที่ 2 ไปศึกษาดูงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่จริงอย่างใกล้ชิดเพื่อทำความเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างรอบด้าน พร้อมเปิดเวทีให้นักศึกษาได้ร่วมกันถอดบทเรียน แลกเปลี่ยนมุมมอง พร้อมนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ชายแดนไทย–เมียนมา ที่ไม่ใช่แค่เรื่องความมั่นคงทางกายภาพ แต่ครอบคลุมไปถึงประเด็นด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การทหาร และการพัฒนาที่มี “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง”
เรียนรู้ปัญหาผู้ลี้ภัยด้วยความเข้าใจ
ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ ที่ปรึกษากรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร และนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 ได้เกรินนำผ่านการวิเคราะห์สถานการณ์ชายแดนไทย–เมียนมา โดยชี้ให้เห็นว่ารากเหง้าที่แท้จริงของปัญหาชายแดนไทย-เมียนมาไม่ใช่ปัญหาเชิงเขตแดน แต่เป็นผลมาจากความไม่สงบทางการเมืองภายในเมียนมาที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนานตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 2491 และยิ่งรุนแรงมากขึ้นภายหลังรัฐประหารเมื่อปี 2564 ทำให้เกิดการสู้รับระหว่างรัฐบาลและชนกลุ่มน้อย ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยในหลายมิติ ทั้งในมิติทางสังคม ทำให้ไทยกลายเป็นจุดรองรับแรงงานและผู้อพยพลี้ภัยจำนวนมาก โดยมีการประเมินว่าปัจจุบันมีแรงงานเมียนมาอาศัยอยู่ในไทยไม่น้อยกว่า 6–7 ล้านคน ในด้านเศรษฐกิจ การค้าชายแดนโดยเฉพาะในพื้นที่แม่สอด–เมียวดี ที่เคยเป็นหนึ่งในช่องทางส่งออกสินค้าที่สำคัญของประเทศได้รับผลกระทบเมื่อเส้นทาง AH1 ถูกตัดขาด จากสถานการณ์ความไม่สงบ และในด้านความมั่นคง เช่น เหตุการณ์เครื่องบินรบเมียนมาที่บินล้ำเข้ามาในเขตไทยบ่อยครั้ง รวมถึงภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเซ็นเตอร์ และปัญหายาเสพติดข้ามพรมแดน ที่ชนกลุ่มน้อยใช้เป็นช่องทางในการหารายได้ทั้งเพื่อความอยู่รอดและสู้รบกับรัฐบาล
แต่อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.ลลิตา ได้ย้ำว่า แม้ความไม่สงบทางการเมืองในเมียนมาจะส่งผลกระทบต่อไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาผู้ลี้ภัย เราควรมองผู้ลี้ภัยด้วยความเข้าใจ เพราะไม่มีใครอยากหนีสงครามและไม่มีใครอยากเป็นผู้พลัดถิ่น การแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุดคือต้อง “หยุดสงคราม” ซึ่งประเทศไทยอาจช่วยได้โดยใช้จุดแข็งของไทยในฐานะประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งฝั่งรัฐบาลและฝั่งชนกลุ่มน้อยในการเป็นคนกลางเจรจาอย่างสันติและผลักดันให้เกิดพื้นที่ปลอดภัย เพื่อลดจำนวนผู้ลี้ภัย และสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนร่วมกัน
เปิดภาพ “พัฒนาอย่างยั่งยืน” สองฝั่งต้องร่วมจับมือกัน
ด้านพันเอก คมกฤช คชรักษา ฝ่ายเสนาธิการ กรมยุทธการทหารทัพบก และนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืนว่า ควรคำนึงถึงประชาชนทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่ฝั่งไทย ซึ่งการสร้างความมั่นคงชายแดนในระยะยาว ต้องพัฒนาอย่างครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ด้านการศึกษา เพื่อให้คนในพื้นที่มีโอกาสพัฒนาตนเองและกลับมาช่วยพัฒนาชุมชน ด้านสาธารณสุข เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และด้านเศรษฐกิจ การค้าชายแดน ที่ช่วยสร้างรายได้ให้ประชาชนทั้งสองฝั่งมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีไปพร้อมกัน เพราะหากประชาชนฝั่งเมียนมามีทางเลือกในชีวิตที่ดี ก็ไม่จำเป็นต้องลักลอบเข้าไทยหรือไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย แต่ขณะเดียวกัน ถ้าพวกเขามีคุณภาพชีวิตไม่ดี ไม่มีทางเลือก อยู่ในประเทศไม่ได้ เราก็จะไม่ปลอดภัยเช่นกัน
โดยในการพัฒนานี้ต้องยึดหลักการ “ช่วยเขาเพื่อให้เขาช่วยตัวเองได้” ดูตัวอย่างได้จาก “โครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องจากพระราชดำริ” ที่เคยประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาการปลูกฝิ่นในพื้นที่สูงมาแล้ว โดยโมเดลนี้ แบ่งการพัฒนาเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 – อยู่รอด: เน้นการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดํารงชีวิต เช่น วางระบบสาธารณูปโภค การสาธารณสุข ทําให้คนในพื้นที่สามารถอยู่รอดและหลุดพ้นจากความอดอยาก ระยะที่ 2 – พอเพียง: มีรายได้พอเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ลืมตาอ้าปากได้ ระยะที่ 3 – ยั่งยืน:เมื่อมีความพร้อมมากขึ้นก็สามารถที่จะคิดต่อยอดและพัฒนาให้เกิดความยั่งยืนต่อไปได้ โมเดลนี้จึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับพื้นที่ชายแดนต่าง ๆ ได้ เพื่อสร้าง “ความมั่นคงจากภายใน” ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อพื้นที่ชายแดนทั้งสองฝั่งได้รับการพัฒนาอย่างสมดุล และประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง
มองตัวอย่างโอกาสเศรษฐกิจชายแดนแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก
ด้าน นายเอกวรัญญู อัมระปาล ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โฆษกกรุงเทพมหานครและนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 เปิดเผยถึงตัวอย่างแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจพื้นที่ชายแดนด่านแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก จังหวัดเชียงราย ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้านการค้าชายแดนไทย–เมียนมา แต่ปัจจุบันกลับเผชิญภาวะซบเซาอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของกรมศุลกากร พบว่า มูลค่าการค้าชายแดนผ่านด่านแม่สายในปี 2562 อยู่ที่ 71,587 ล้านบาท แต่กลับลดลงต่อเนื่อง เหลือเพียงประมาณ 33,500 ล้านบาทในปี 2566 หรือลดลงกว่า 53% ภายใน 4 ปี โดยมีปัจจัยหลักจากความไม่มั่นคงภายในเมียนมา การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปัญหายาเสพติดและแรงงานเถื่อน ฯลฯ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้ประกอบการท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวยังคงมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก หากไม่มีปัญหาความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในระหว่างนี่ ก็ยังมีโอกาสเช่นกัน จากกลุ่มลูกค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่ผ่านมานักวิชาการหลายท่านได้เคยเสนอแนวทางพัฒนาหลายประการ อาทิ
·การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ด้านโลจิสติกส์ เช่น ขยายถนนเข้าสู่ด่าน การจัดระเบียบการจราจร และเพิ่มประสิทธิภาพการผ่านแดน เพราะที่ผ่านมาเราเห็นการต่อแถวรอเข้าพื้นที่ไทยเป็นจำนวนมาก
·การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย เพื่อดึงดูดการลงทุน และกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ดึง demand นักลงทุนเข้าเพื่อใกล้กับทรัพยากรจากเมียนม่าหรือ ความต้องการกลุ่มลูกค้าเมียนม่า
· การส่งเสริมการค้าชายแดนผ่านระบบดิจิทัล ลดขั้นตอนเอกสาร และเปิดช่องทางการค้ารูปแบบใหม่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
·การฟื้นฟูการท่องเที่ยวแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก ซึ่งเคยเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทย ด้วยการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น และยกระดับสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน รวมถึงการสร้างอัตลักษณ์ให้จดจำ เพื่อส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว เช่นเราไปเยาวราช เพราะมีอาหาร มีวัด จีน
ทั้งนี้ การฟื้นฟูแม่สายให้กลับมาเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนระดับภูมิภาค จะต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดจากทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนอีกครั้ง และแน่นอนว่าความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ใช้จุดแข็งของไทย ขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างยั่งยืน
นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส รองประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิว เอ็นเนอร์จี พลัส โซลูชั่นส์ จำกัด และนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 กล่าวว่าแนวทางแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาว่า จำเป็นต้องมีแนวทางแก้ไข ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยในระยะสั้น สามารถบริหารจัดการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคม ในระยะยาว ประเทศไทยสามารถมีบทบาทในการสนับสนุนการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ด้วยการส่งเสริมกระบวนการพูดคุยระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ใช้ความสัมพันธ์อันดีที่ไทยมีอยู่กับหลายฝ่ายเป็นทุนทางการทูต และไทยสามารถแสดงบทบาทในเวทีอาเซียนอย่างสร้างสรรค์ ด้วยการส่งเสริมประเด็นเสถียรภาพ การพัฒนา และสิทธิมนุษยชนในระดับภูมิภาค โดยใช้จุดแข็งของประเทศในด้านความมั่นคง เทคโนโลยี และทรัพยากรในการขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างยั่งยืน พร้อมทั้งสนับสนุนการเป็นประชาคมที่เคารพความหลากหลายและมีแนวทางการแก้ปัญหาที่เปิดกว้างและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
เสียงสะท้อนจากนักศึกษา วปอ.บอ. ชี้ชัดว่า การแก้ปัญหาชายแดนไทย–เมียนมา ไม่สามารถทำได้ด้วยมิติใดมิติหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความเข้าใจรอบด้าน การบูรณาการระหว่างภาครัฐ ท้องถิ่น และประชาชน ตลอดจนต้องอาศัยความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ควบคู่ไปกับการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง ในฐานะผู้ที่ต้องการสร้างอนาคตร่วมกัน ซึ่งหากไทยสามารถพัฒนาแนวชายแดนให้เป็นพื้นที่ต้นแบบของความร่วมมือที่สร้างสมดุลระหว่างความมั่นคง การพัฒนาและมนุษยธรรมได้ ก็จะทำให้ปัญหาชายแดนคลี่คลาย ประชาชนเกิดความมั่นใจ การค้าชายแดนกลับมาคึกคัก และปูทางสู่สันติภาพในภูมิภาคได้อย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้นักศึกษาทั้ง 4 ท่านยังกล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนหลักสูตร วปอ.บอ ว่าช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเรื่อง “ความมั่นคง” อย่างรอบด้าน และอาจต่อยอดไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาประเทศไทยได้จริง จากรูปแบบการเรียนสอนที่มีความพิเศษที่ รวมบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ทหาร ตำรวจ เอกชน และนักวิชาการทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจ เปิดมุมมองที่หลากหลาย ในการวิเคราะห์ปัญหาความมั่นคงที่ซับซ้อนหลายมิติ ทำให้เกิดความเข้าใจรอบด้านและสามารถเสนอแนวทางที่ตอบโจทย์ได้มากขึ้นละสามารถ ฝึกคิดและเสนอแนวนโยบายผ่านการอภิปรายจริง การเรียนการสอนมีเวทีอภิปรายและการระดมสมองเป็นประจำ เช่น การทำ “บ่งการ” หรือการวิเคราะห์สถานการณ์สมมุติที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์จริง พร้อมหาแนทางแก้ปัญหา ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะเชิงนโยบายและการวิเคราะห์เชิงระบบ และสุดท้ายของการเรียนยังมีโอกาสในการได้ทำบทความวิจัยเพื่อ เสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อการพัฒนาต่อยอดและอาจผลักดันไปสู่ระดับนโยบายได้จริง