In Thailand
คนคึกคักแห่ชมตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร คลายเครียด-เปราะบางไทย-กัมพูชา

ปราจีนบุรี -ผู้คนคึกคักคลายเครียด-เปราะบางไทย-กัมพูชา แห่ชมตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร...รำลึกประวัติศาสตร์การต่อสู้ลัทธิล่าอาณานิคม -ความรักแผ่นดินของท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร(ชุ่ม อภัยวงศ์)ความจงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์ และ สัมพันธ์ที่ดีบ้านพี่เมืองน้อง ไทย-กัมพูชา! ในงานวันแรกสถาปนาโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ครบรอบ 84 ปี "ยกระดับภูมิปัญญาไทย สู่มาตรฐานใหม่ของการดูแลสุขภาพ"
เมื่อเวลา 16.05 น.วันนี้ 23 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าว รายงานจาก จ.ปราจีนบุรีได้รับแจ้งจาก ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หรือ ดร.ต้อม เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร อ.เมืองปราจีน จ.ปราจีนบุรีในระหว่าง วันที่ 23 - 24 มิถุนายน 2568 นี้ มีกิจกรรมพิเศษงานวันสถาปนาโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ครบรอบ 84 ปี "ยกระดับภูมิปัญญาไทย สู่มาตรฐานใหม่ของการดูแลสุขภาพ"
พบประชาชน บุคลากรด้านการแพทย์ แพทย์แผนไทย นักท่องเที่ยวหนาแน่นในกิจกรรมวันแรกนี้ ที่จัดเต็มทั้งสาระ และ สุขภาพ ฟรี อาทิ ประชุมวิชาการ ด้านการแพทย์แผนไทยเผยแพร่องค์ความรู้และประสบการณ์สู่สาธารณะ หัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่ การใช้นวดไทยร่วมกับการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน การรักษาผู้ป่วยโรคกระดูก และ ข้อด้วยยาสมุนไพร และ หัตถการทางการแพทย์แผนไทย รวมถึงการดูแลหญิงตั้งครรภ์แบบบูรณาการ นิทรรศการภายใต้แนวคิด Innovative Wellness & Longevity ด้วยสมุนไพรไทย บริการตรวจ-ปรึกษา สุขภาพกับแพทย์แผนไทย โดย วิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร นวดไทย เพื่อแก้อาการ , เกมเจ้าเรือน , เช็คธาตุเพื่อสร้างสมดุล พร้อมรับฟรี "ยาดมตามเจ้าเรือน" จำนวนจำกัดนิทรรศการนวัตกรรมสมุนไพรเพื่อรับมือมลภาวะ , สมุนไพรสำหรับสังคมผู้สูงอาย ซึ่งเริ่ม ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.
นอกจากนี้หลังชมงานแล้ว ในช่วงสถานการณ์ตรึงเครียด-เปราะบาง ตามแนวชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา นี้ พบผู้ร่วมงานพากันมาเที่ยวเยี่ยมชมความงดงามตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในการรำลึกประวัติศาสตร์ การต่อสู้ลัทธิล่าอาณานิคม -ความรักแผ่นดิน ความจงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์ และ สัมพันธ์ที่ดีบ้านพี่เมืองน้อง ไทย-กัมพูชา!โดยมีวิทยากรนำบรรยายเที่ยวชมให้ความรู้ด้วย
ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หรือ ดร.ต้อม เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานจากกรมศิลปากร เป็นโลโก้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรอภัยภูเบศร และ หมายถึงสิ่งเล่าประวัติศาสตร์สัญลักษณ์ของการต่อสู้กับลัทธิล่าอาณานิคม เป็นตัวอย่างแห่งความซื่อสัตย์ความจงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์ ความรักผืนแผ่นดินไทย และ สัมพันธ์ที่ดีบ้านพี่เมืองน้อง ไทย-กัมพูชา ที่ท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร(ชุ่ม อภัยวงศ์) อดีตเจ้าเมืองพระตะบองเป็นผู้ก่อสร้างขึ้นมา และ ถือเป็นสัญลักษณ์ในการฟื้นฟูสมุนไพร การนวดไทยขึ้นมา เพื่อพึ่งพาตนเองเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีของคนไทยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างประเทศเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปยุคต้น ๆ ของกรุงรัตนโกสินทร์ พร้อมซื้อหาสมุนไพรหลากหลาย หรือการบำบัดรักษาดูแลสุขภาพ ภญ.ดร.สุภาภรณ์ กล่าว
และกล่าวต่อไปว่า ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ก่อตั้งขึ้น ในปี พ.ศ. 2452 โดยท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ผู้ที่มีความกตัญญูต่อแผ่นดิน ซื่อสัตย์ และจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เป็นยิ่งนัก ทั้งนี้ภายหลังจากท่านได้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนหน้านั้นยังไม่มีที่ประทับ ขณะเสด็จประพาสเมืองปราจีนบุรี ในปี พ.ศ. 2451 จึงได้สร้างตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ด้วยต้องการให้เพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีสถานที่ประทับแรมแรมอย่างสมพระเกียรติหากพระองค์เสด็จปราจีนบุรีอีกครั้ง
ประวัติเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) เป็นเจ้าเมืองพระตะบองคนสุดท้ายที่สืบสายเลือดของข้าราชการที่รับใช้ราชวงศ์จักกรีถึงสามชั่วคน ท่านเลือกที่จะทิ้งเมืองพระตะบองอันเป็นบ้านเกิดเดินทางมายังปราจีนบุรีเมื่อปี พ.ศ.2550 เมื่อไทยต้องยกเมืองพระตะบองให้กับฝรั่งเศสเพื่อแลกเอาเมืองตราดกลับมาสมัยลัทธิล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส
ในวันที่ 23 มีนาคม 2449 (ยึดปี พ.ศ. ตามปฏิทินไทยในขณะนั้น ที่กำหนดเอาวันที่ 1 เมษายน เป็นวันเปลี่ยน พ.ศ. ใหม่) สยามก็ต้องลงนามใน “หนังสือสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับเปรสิเดนต์แห่งรีปับลิคฝรั่งเศส” ซึ่งทำกันที่กรุงเทพฯ ยกมณฑลบูรพา อันได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ รวมพื้นที่ราว 50,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นดินแดนที่ขึ้นตรงต่อสยามมาแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ให้แก่ฝรั่งเศส แลกกับดินแดนราว 2,819 ตารางกิโลเมตร ของเมืองตราดและเกาะต่าง ๆ ในเขตสยามคืน
ประเทศไทยเสียดินแดนให้จักวรรดินิยมในสมัยล่าอาณานิคม 13 ครั้ง(ไม่รวมเขาพระวิหาร) ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 12 เป็นครั้งเดียวของการเสียดินแดนที่เจ้าเมือสมัครใจที่จะกลับคืนสู่พระราชอาณาจักรแบบชนิดที่เรียกว่าตายเป็นตาย ไม่ขอเป็นข้าแก่ผู้ใด
ช่วงที่ท่านพระยาคทาธรธรณินทร์ (บรรดาศักดิ์ของท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในขณะนั้น) ออกเดินทางพร้อมครอบครัวและขบวนประชาชนอพยพช้างม้าวัวควาย นั้น คือปลายเมษายน เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน เป็นการเดินทางที่ยาวนาน เหล่าพวกผู้ชายต้องนั่งอยู่บนอานม้า 15-17 ชั่วโมงต่อวันและเปียกโชก แถมยังต้องทนทุกข์ทรมานกับการโดนกัดโดยแมลงทุกชนิด เป็นฝันร้ายทั้งสำหรับคนและปศุสัตว์สัตว์จนในที่สุดกองเกวียนสุดท้ายก็ไม่สามารถเดินทางไปปราจีนบุรีโดยทางบกได้ เพราะมีน้ำท่วมอยู่ทั่ว ขบวนอพยพต้องเปลี่ยนมาใช้เรือไอน้ำขนสัมภาระและปศุสัตว์ ซึ่งเวลานั้นก็ล้มไปมากแล้ว และผู้คนก็ล้มตายไปหลายคน ด้วยเกิดอหิวาต์ระบาดระหว่างทาง เจ้าพระยาคทาธรถึงเมืองปราจีนบุรี ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2550
ปลายปีที่อพยพกลับสยาม พระยาคทาธรธรณินทร์ (ชุ่ม) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองและสมุหเทศาภิบาลมณฑลบูรพาคนสุดท้ายก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น เจ้าพระยาอภัยภูเบศร บรมนเรศร์สวามิภักดิ์ สมบูรณ์ศักดิ์สุกุลพันธ์ ยุติธรรม์สุรภาพอัธยาศรัยอภัยพิริยบรากรมพาหุ
ท่านได้รับเสด็จเพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จประพาสเมืองปราจีนบุรี ในปี พ.ศ. 2451และได้สร้างตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในปี 2452 ด้วยต้องการให้เพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีสถานที่ประทับแรมแรมอย่างสมพระเกียรติหากพระองค์เสด็จปราจีนบุรีอีกครั้งดังกล่าว ภญ.ดร.สุภาภรณ์กล่าวในที่สุด
มานิตย์ สนับบุญ - ข่าว / ณัฐนันท์ – ภาพ / ปราจีนบุรี