EDU Research & Innovation

มรภ.อุตรดิตถ์ดันข้อต่อบ.มะขามสามเกลอ หนุนธุรกิจชุมชนกุยทางมะขามขึ้นห้าง



กรุงเทพฯ-หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่า “มะขาม” อยู่ในวิถีชีวิตของเราทุกคน ตั้งแต่ก้นครัวของทุกบ้านไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มะขามเป็นส่วนประกอบที่อยู่ในอาหารและเครื่องดื่มหลายประเภท รวมถึงเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมะขามไทยยังเป็นที่ต้องการจากตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ในขณะที่กำลังการผลิตนั้นสวนทางกับความต้องการมะขามในปัจจุบัน   

อุตรดิตถ์แหล่งมะขามคุณภาพ

หากกล่าวถึงมะขาม คนส่วนมากคงนึกถึงจังหวัดเพชรบูรณ์เป็นอันดับแรก แต่จริง ๆ แล้วมะขามมีการปลูกอยู่ทั่วประเทศ โดย นางกมลรัตน์ ท้าวน้อย ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลไม้แปรรูปบ้านเสี้ยว อำเภอฟากท่า จังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า มีน้อยคนที่จะรู้ว่าจังหวัดอุตรดิตถ์มีแหล่งปลูกมะขามคุณภาพอยู่ด้วย ซึ่งในพื้นที่อำเภอฟากท่า อำเภอบ้านโคก และอำเภอน้ำปาด มีพื้นที่ปลูกมะขามรวมกันกว่า 20,000 ไร่ แต่ปัญหาที่พบร่วมกันคือ “ไม่สามารถการันตีราคาได้” หากไม่ยอมขายเหมาสวนให้พ่อค้าคนกลางก็ไม่รู้จะขายให้ใคร เราจึงรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน เพื่อรับซื้อมะขามจากในพื้นที่มาจำหน่ายและแปรรูปเป็นมะขามคลุกแบบง่าย ๆ และพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเจ้าหน้าที่เกษตรตำบลช่วยประชาสัมพันธ์ออกไปว่ากลุ่มของเรามีการประกันราคารับซื้อมะขามไม่ต่ำกว่า 80 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคารับซื้อที่สูงกว่าพ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อเหมาสวน

ทั้งที่ผ่านมากลุ่มได้พยายามนำมะขามอุตรดิตถ์ไปเปิดตัวในงาน OTOP จังหวัดต่าง ๆ เสมอ เพื่อสร้างตลาดลูกค้า แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความมั่นคงให้กับกลุ่มหรือเกษตรกรในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง กระทั่งทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์เข้ามาสร้างจุดเปลี่ยนที่สำคัญ จุดประกายให้เรารู้จักตลาดมะขามใหม่ ๆ ที่กว้างกว่าเดิม ชวนให้กลุ่มทำ “มะขามไร้เมล็ด” จากเคยขายมะขามฝักกิโลกรัมละ 80-90 บาท เมื่อนำมากรีดเมล็ดออกสามารถเพิ่มมูลค่าขายได้ในราคากิโลกรัมละ 500 บาท ถือเป็นก้าวที่สำคัญต่อความเปลี่ยนแปลงของกลุ่ม

เพิ่มมูลค่ามะขามอุตรดิตถ์ด้วยงานวิจัย

ทางด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดุษฎี บุญธรรม หัวหน้าโครงการเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบการของเครือข่ายธุรกิจมะขามสามเกลอให้เข้มแข็งบนฐานการผลิตโดยชุมชนเพื่อชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการลงพื้นที่วิจัยในจังหวัดอุตรดิตถ์พบว่าผู้ประกอบการแปรรูปมะขาม และเกษตรกรผู้ปลูกมะขามในพื้นที่ประสบปัญหาต่างกัน โดยปัญหาของผู้ประกอบการแปรรูปมะขามคือมีออร์เดอร์เข้ามาจำนวนมาก แต่กำลังการผลิตไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถรับออร์เดอร์เพิ่มได้

ขณะที่ เกษตรกรผู้ปลูกมะขามก็ไม่รู้จะขายมะขามให้ใคร ไม่รู้จะขายอย่างไร จึงต้องยอมขายให้พ่อค้าคนกลางแม้จะถูกกดราคาต่ำมากก็ตาม ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการ “ไม่รู้จักตลาด” ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนที่คณะวิจัยมองเห็นคือ การเพิ่มมูลค่าให้กับคนทำมะขามในห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมด ได้แก่ ผู้ปลูก ผู้รวบรวม และผู้แปรรูป โดยใช้กลยุทธ์สำคัญ 3 ข้อ คือ 1. หาตลาดใหม่ที่มีมูลค่าสูง 2. พัฒนาคนหรือศักยภาพของผู้ประกอบการ และ 3. เชื่อมโยงเครือข่ายกลุ่มธุรกิจชุมชน ซึ่งมีการเชิญผู้ประกอบการจากจังหวัดอุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ และเลย ให้มาพบกันและเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายผู้ประกอบการที่ทำมะขามเพื่อเชื่อมโยงวัตถุดิบด้วยกันต่อไป

กุญแจสำคัญคือ ทำให้ชุมชนเห็นคุณค่าของมะขามธรรมดา เพราะที่ผ่านมาชุมชนมุ่งแต่จะคัดมะขามฝักยาวสวยมากรีดเมล็ดออกเพื่อขายกิโลกรัมละ 500 บาท เพราะนั่นคือ Hero Product ของเขา แต่ในบทบาทนักวิจัยเราต้องทำให้เขาเห็นช่องทางสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมะขามตกเกรด มะขามหวานข้อ หรือมะขามเปรี้ยวที่ชุมชนมองข้ามไปให้ได้ อย่างเช่นมะขามหวานข้อ ซึ่งเดิมชุมชนขายกิโลกรัมละ 50 บาท หรือนำไปทำมะขามคลุก แต่เมื่อเปลี่ยนมากรีดขายเป็นมะขามไร้เมล็ดหรือมะขามพอดีคำ สามารถขายได้กิโลกรัมละ 400 บาท เพิ่มมูลค่าได้ถึง 7.7 เท่า ส่วนเศษมะขามที่เหลือจากการคัดเกรดต่าง ๆ ก็สามารถแปรรูปเพิ่มมูลค่าเป็นท๊อฟฟี่มะขาม มะขามสามรส มะขามคลุกบ๊วย และทำเป็นไส้ของพายมะขามได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นการใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่าให้กับมะขามทุกประเภท ไม่ให้มีส่วนใดเหลือทิ้ง หรือไม่มีราคา”

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของผู้ประกอบการกลุ่มนี้คือไม่มีแรงงาน ซึ่งทีมวิจัยได้เคยนำเครื่องกรีดมะขามเข้าไปให้ชุมชนลองใช้ แต่พบว่าเครื่องจักรยังไม่ตอบโจทย์เรื่องคุณภาพและความประณีตเท่าการใช้มือ จึงปรับกลยุทธ์มาเป็น “การพัฒนาคน” ชวนคนในชุมชนที่เป็นผู้สูงอายุ ลูกหลาน หรือคนว่างงานในชุมชนมาเรียนรู้ด้วยกัน สอนเทคนิคการคัดแยกประเภทมะขาม และสอนกรีดมะขามให้ได้ตามมาตรฐานของกลุ่ม ทำให้กลุ่มมีแรงงานผลิตมะขามไร้เมล็ดเพิ่มขึ้น และเกิดการจ้างงานในชุมชนเพิ่มขึ้นอีกหลายอัตรา รวมทั้งเริ่มมีคนรุ่นใหม่ที่กลับมาอยู่ในชุมชนมารับมะขามจากกลุ่มไปกรีดที่บ้านและจำหน่ายด้วยแบรนด์ของตัวเองก็มี

“บริษัทมะขามสามเกลอ” ข้อต่อเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์มะขาม

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดุษฎี กล่าวอีกว่า สำหรับมะขามหวานข้อที่ตกเกรดด้อยคุณภาพและมะขามเปรี้ยวที่ชุมชนมองข้ามนั้น จากเดิมชุมชนจะขายเหมาสวนกิโลกรัมละ 8-10 บาท ทีมวิจัยจึงชวนผู้ประกอบการพัฒนาต่อยอดร่วมกัน นำมาทำเป็น “เนื้อมะขามเข้มข้น” เพื่อเปิดตลาดผลิตภัณฑ์มะขามใหม่ในระดับอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงขึ้น เนื่องจากมีอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์จำนวนไม่น้อยที่ต้องการใช้เนื้อมะขามเข้มข้นเป็นส่วนประกอบ แต่อย่างไรก็ตามกลับพบปัญหาสำคัญในการเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์จากชุมชนและภาคอุตสาหกรรมว่ายังมีช่องว่าง เนื่องจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ส่วนมากมักจะไม่ยอมรับผลิตภัณฑ์จากชุมชน เนื่องจากกังวลเรื่องของคุณภาพ

ดังนั้นทีมวิจัยจึงจัดตั้งบริษัท Startup ขึ้นมาภายใต้ชื่อ “บริษัทมะขามสามเกลอ” เพื่อทำหน้าที่เป็นข้อต่อในการรวบรวมสินค้าจากกลุ่มธุรกิจในชุมชนเพื่อเชื่อมต่อกับธุรกิจตลาดนอกพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการเติบโตจากฐานรากอย่างทั่วถึง (Bottom-up to Inclusive Growth) ด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการในพื้นที่ ผ่านห่วงโซ่คุณค่ามะขามที่ยึดหลักการค้าเป็นธรรม (Fair Trade) ใช้บทบาทของทีมวิจัยใช้ความรู้ เทคโนโลยี และวิชาการเข้าสนับสนุนคุณค่าของผลิตภัณฑ์จากชุมชน พัฒนาสูตรและทดลองให้ได้คุณภาพ และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบ Made to Order ตามความต้องการของตลาดได้ ทั้งยังเป็นการยืนยันคุณภาพและสร้างความเชื่อมั่นจากธุรกิจตลาดภายนอกที่มีต่อชุมชนด้วย

โดยปัจจุบัน บริษัทมะขามสามเกลอ สามารถเชื่อมโยงตลาดเข้ากับธุรกิจ SMEs ขนาดย่อมได้แล้วหลายแห่ง โดยมีผลิตภัณฑ์มะขามเข้มข้นเป็นตัวเบิกนำ ซึ่งจุดเด่นมะขามเข้มข้นของบริษัทมะขามสามเกลอนั้นจะใช้เนื้อมะขามทั้งหมดโดยไม่มีการคั้นแยกกาก โดยทางกลุ่มวิสาหกิจเองก็ได้ขยายผลนำสูตรมะขามเข้มข้นจากงานวิจัยนี้ไปพัฒนาต่อภายใต้แบรนด์ของตนเอง และกำลังเข้าสู่ขั้นตอนยื่นขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต่อไป โดยราคาของมะขามเข้มข้นจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 120 บาท เป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้น 13.3 เท่า จากราคาขายเหมาสวน

ใกล้บ้านได้งาน ไกลบ้านได้ทาน นิเวศได้สมดุล

ทางด้าน นางกมลรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่งานวิจัยนี้เข้ามาในพื้นที่ เห็นได้ชัดว่าความเป็นอยู่ของคนในชุมชนดีขึ้น ผู้สูงอายุที่เคยเป็นภาระลูกหลานก็มาทำงานรับจ้างคัดแยก ปอก หรือกรีดมะขาม จนเกิดเป็นนิยาม “พ่อเก็บ แม่กรีด ลูกปลอก” โดยคนรับจ้างกรีดมะขามข้อสั้นข้อยาวกิโลกรัมละ 40 บาท รับจากปลอกมะขามข้อสั้นกิโลกรัมละ 15 บาท ข้อยาวกิโลกรัมละ 10 บาท โดยเฉลี่ยแล้วมีรายได้วันละ 200-600 บาท ขึ้นอยู่กับหน้าที่และความขยันของแต่ละคน แต่ที่สำคัญคือทำให้เขามีรายได้ทุกวัน ส่วนเกษตรกรเจ้าของสวนมะขามจากเคยขายเหมาสวนได้เดือนละประมาณ 20,000 บาท เนื่องจากถูกกดราคา ปัจจุบันเมื่อนำมะขามมาขายให้กลุ่มเราก็มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 – 60,000 บาท ต่อเดือน

“ทีมวิจัยได้พัฒนาศักยภาพการเป็นนักขายชุมชนให้เราซึ่งค่อนข้างได้ผล ปัจจุบันกลุ่มของเราทำตลาดออนไลน์เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ผ่าน Facebook page ชื่อว่า กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรมะขามหวานธรรมชาติ (กมลรัตน์ มะขามหวานบ้านเสี้ยว) ซึ่งมีทั้งลูกค้าที่สั่งไปทานเอง และซื้อไปขายต่อ โดยเฉลี่ยใน 1 เดือน กลุ่มจะมียอดขายประมาณ 500,000 – 600,000 บาท และปัจจุบันกำลังต่อยอดในเรื่องของ “ลานรับซื้อ” เนื่องจากยังมีผลไม้คุณภาพอื่น ๆ อีกมากในพื้นที่ซึ่งยังไม่สามารถประกันราคาได้ ดังนั้นเป้าหมายต่อไปจึงเป็นเรื่องของการสร้างความมั่นคงให้กลุ่มธุรกิจชุมชน เพื่อทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่เพิ่มขึ้น”

ทั้งนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดุษฎี กล่าวทิ้งท้ายถึงนิยามของสิ่งที่ทำเหล่านี้ว่า “ใกล้บ้านได้งาน ไกลบ้านได้ทาน นิเวศได้สมดุล” เพราะทำให้คนในพื้นที่มีงานทำ เกิดการจ้างงาน และเป็นพื้นที่รองรับคนรุ่นใหม่ที่กลับมาอยู่ในชุมชนได้ อีกทั้งคนนอกพื้นที่ก็สามารถบริโภคมะขามที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานจากการสั่งซื้อออนไลน์ และสุดท้ายเมื่อชุมชนรู้จักตลาดที่กว้างขึ้นและเห็นช่องทางไปต่อ ก็ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมะขามในพื้นที่เกิดความเชื่อมั่นว่ามะขามนั้นขายได้จริง ประกันราคาได้ จึงเริ่มหันมาใส่ใจดูแลสวนมะขามกันมากขึ้น จากที่เคยปล่อยรกร้าง ก็ดูแลใส่ใจอย่างดี จึงทำให้สิ่งแวดล้อมดีตามไปด้วย