Health & Beauty

แพทย์รามาฯชี้'RSVในเด็กเล็ก'เสี่ยงวิกฤต 'ไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุ'คร่าชีวิตได้!



กรุงเทพฯ-ในช่วงฤดูฝนจนถึงต้นฤดูหนาว เป็นฤดูกาลของการระบาดของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ การตระหนักรู้และเข้าใจแนวทางการป้องกันโรคอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซาโนฟี่ ประเทศไทย ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนนี้ จึงสนับสนุนเวทีเสวนาด้านสุขภาพ Health Talk ในงาน Thailand Healthcare 2025 ภายใต้หัวข้อ "เด็กเล็กติดง่าย ผู้สูงวัยเสี่ยงหนัก : ทำความรู้จักอาร์เอสวีและไข้หวัดใหญ่" โดยได้รับเกียรติจาก ศ. พญ. ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล และรศ. พญ. โสภิดา บุญสาธร รีฟส์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิด  ล มาร่วมถ่ายทอดความรู้เชิงลึกและแนวทางการรับมือโรคเหล่านี้ เพื่อปกป้องคนในครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางอย่าง ‘เด็กเล็ก’ และ ‘ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป’ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง

อาร์เอสวี : ภัยเงียบที่เด็กเล็กทุกคนเสี่ยง ควรป้องกันก่อนสาย

ไวรัสอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial Virus - RSV) เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มอายุแรกเกิดจนถึง 2 ปี ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านการไอ จาม และการสัมผัส โดยเชื้ออาจอยู่ในพื้นผิวได้นาน ทำให้เด็กทุกคนมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย โดยเด็กทุกคนจะต้องเคยติดเชื้อ RSV อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิตก่อนอายุ 5 ขวบ และ 90% ของเด็กจะติดเชื้อ RSV ภายใน 2 ขวบปีแรก โดยมีถึง 50% ของเด็กที่ติดเชื้อภายในขวบปีแรก การระบาดของเชื้ออาร์เอสวี ส่วนใหญ่เป็นตามฤดูกาล ในประเทศไทยการระบาดจะเริ่มเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม และระบาดสูงสุดในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดน้อยลงไปเมื่อเข้าสู่เดือนพฤศจิกายนและธันวาคม

คุณแม่มือใหม่หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเด็กแรกเกิดหรือเด็กเล็กที่ยังไม่ได้ออกจากบ้าน ไม่จำเป็นต้องได้รับภูมิคุ้มกันอาร์เอสวี แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนในบ้านสามารถนำเชื้อมาสู่ลูกน้อยได้ง่าย ทำให้เด็กเล็กที่แม้จะอยู่แต่ในบ้านก็ยังคงมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อและมักมีอาการรุนแรงจนต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล อาการของอาร์เอสวีในเด็กที่ควรสังเกต คือ ไอ หอบเหนื่อย มีเสมหะเหนียว และไข้สูง ซึ่ง 1 ใน 3 ของเด็กเล็กที่ติดเชื้ออาร์เอสวีจะมีอาการรุนแรงลามลงสู่ทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ เนื่องจากทางเดินหายใจของเด็กอายุน้อยมีขนาดเล็ก ที่สำคัญ คือ อาร์เอสวียังไม่มียารักษาจำเพาะ เป็นการรักษาประคับประคองตามอาการ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องป้องกันก่อนเกิดโรค โดยเฉพาะตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 12 เดือน

รศ. พญ. โสภิดา บุญสาธร รีฟส์ กุมารแพทย์โรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เน้นย้ำว่า "ในกลุ่มเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ไม่ว่าจะเกิดมาแข็งแรงดี ครบกำหนด คลอดก่อนกำหนด หรือมีโรคประจำตัว ล้วนมีโอกาสที่จะติดเชื้ออาร์เอสวี ได้ และอาจเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นต้องเข้ารักษาในหออภิบาลผู้ป่วยเด็กวิกฤต และอาจเสียชีวิตได้"

ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ปัจจุบันมี "ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปอาร์เอสวี" ซึ่งไม่ใช่วัคซีนแต่เป็นการฉีด "แอนติบอดี" เข้าสู่ร่างกายโดยตรง ทำให้สามารถป้องกันโรคได้ทันที โดยข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันประสิทธิภาพสูง ได้แก่ ลดความเสี่ยงในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนล่างได้ถึง 79.5% และลดความเสี่ยงในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้ออาร์เอสวีโดยรวมได้ถึง 83.2% นอกจากนี้ ยังลดระยะเวลาการเข้ารับการรักษา และลดโอกาสการเข้ารับการรักษาตัวในหออภิบาลผู้ป่วยเด็กวิกฤตได้ถึง 75.3% ดังนั้น เพื่อปกป้องเด็กไทยจากโรคติดเชื้ออาร์เอสวี ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยจึงออกแนวทางการให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปเนอร์ซีวิแมบ (Nirsevimab)1 โดยแนะนำในทารกแข็งแรงดีทุกรายที่อายุต่ำกว่า 8 เดือน และอาจพิจารณาให้ในทารกแข็งแรงดีที่อายุ 8-12 เดือน โดยแนะนำให้เริ่มฉีดก่อนเข้าฤดูกาลระบาดของอาร์เอสวี ช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมของทุกปี สำหรับทารกที่เกิดในระหว่างช่วงฤดูกาลระบาดของอาร์เอสวี ควรได้รับเนอร์ซีวิแมบโดยเร็วที่สุดหลังคลอด โดยภูมิคุ้มกันจะขึ้นทันทีตั้งแต่ได้รับเนอร์ซีวิแมบ และปกป้องลูกน้อยได้อย่างน้อย 6 เดือนตลอดฤดูกาลระบาด

ไข้หวัดใหญ่ : เลือกวัคซีนให้เหมาะสม...เพื่อป้องกันผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ

ศ. พญ. ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยยังคงน่าเป็นห่วง ซึ่งแค่ 6 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2568 มีผู้ป่วยมากกว่า 370,000 ราย และเสียชีวิตถึง 51 ราย โดยกลุ่มที่เสียชีวิตมากที่สุด คือ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันถดถอยและมักมีโรคร่วม การป้องกันโดยการเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากไข้หวัดใหญ่มักระบาดในช่วงฤดูฝนต่อเนื่องจนถึงต้นฤดูหนาว จึงขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณารับวัคซีนได้ทันที

ศ. พญ. ศศิโสภิณ อธิบายเพิ่มว่า "ในผู้สูงอายุมีหลายปัจจัยที่ทำให้เวลาเป็นโรคติดเชื้อรุนแรงกว่าปกติ ปัจจัยแรก คือ จาก 'ภาวะภูมิคุ้มกันถดถอย' ภูมิคุ้มกันจะลดลงเมื่ออายุเยอะขึ้น ทำให้ติดเชื้อง่าย หรืออาการรุนแรงกว่าคนหนุ่มสาว และปัจจัยที่สอง คือ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะมีโรคร่วม เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคปอดเรื้อรัง เมื่อติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จึงทำให้โรคนั้น ๆ กำเริบ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งโรคไข้หวัดใหญ่จะแตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาตรงที่มีความรุนแรงมากกว่า ผู้ป่วยมักมีไข้สูงเฉียบพลัน อ่อนเพลียมาก อาจลงปอด และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

ปัจจุบัน วัคซีนไข้หวัดใหญ่มี 2 แบบ คือ ขนาดมาตรฐาน (standard dose) ที่ฉีดได้ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป และขนาดสูง (high dose) ที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป โดยวัคซีนขนาดสูงมีปริมาณแอนติเจนสูงกว่าขนาดมาตรฐานถึง 4 เท่า ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันที่ดีกว่าในกลุ่มผู้สูงอายุ ข้อมูลการศึกษาพบว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดขนาดสูงมีประสิทธิภาพสูงกว่าวัคซีนขนาดมาตรฐานอย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถลดโอกาสการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มขึ้น 24% ลดการป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลได้เพิ่มขึ้น 64% และลดอัตราการเสียชีวิตได้เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับวัคซีนขนาดมาตรฐาน2 วัคซีนขนาดสูงนี้มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ ในแถบอเมริกาและยุโรปมานานกว่า 10 ปี มากกว่า 200 ล้านโดส สะท้อนถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย

นอกจากนี้ ข้อมูลล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และกรมควบคุมโรคของไทย ยืนยันว่า การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบ 3 สายพันธุ์ หรือ 4 สายพันธุ์ ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องของการป้องกัน เนื่องจากสายพันธุ์ B/Yamagata ซึ่งเคยรวมอยู่ในวัคซีนแบบ 4 สายพันธุ์นั้นไม่พบการระบาดอย่างมีนัยสำคัญมาเกือบ 5 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ดังนั้น การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ จึงเพียงพอสำหรับการป้องกันในปัจจุบัน

ด้วยความเสี่ยงที่มาพร้อมกับฤดูการระบาด การตระหนักรู้และเลือกแนวทางการป้องกันที่เหมาะสมสำหรับทั้ง RSV และไข้หวัดใหญ่ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยให้เราสามารถปกป้องตนเองและคนที่รักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซาโนฟี่ ประเทศไทย มุ่งมั่นส่งเสริมให้คนไทยร่วมกันเสริมสร้างเกราะคุ้มกัน ลดความสูญเสียจากโรคที่สามารถป้องกันได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน