Think In Truth

ขอม: อารยธรรมแห่งอำนาจไม่ใช่ชนชาติ แห่งเขตแดน   โดย: ฟอนต์ สีดำ



ในกระแสการถกเถียงเชิงประวัติศาสตร์ระหว่างนักวิชาการและสังคมร่วมสมัย คำว่า "ขอม" ได้กลับมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้ง อาจารย์สรรค์สนธิ บุณโยทยาน นักวิชาการด้านพิภพวิทยาและประวัติศาสตร์ ได้เสนอข้อวิเคราะห์อย่างลุ่มลึกว่า คำว่า "ขอม" มิได้หมายถึง "ชนชาติ" ดังที่เข้าใจกันทั่วไปในยุคปัจจุบัน แต่เป็นคำเรียกอารยธรรมและอาณาจักรโบราณที่มีอิทธิพลกว้างไกลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยท่านได้นำเสนอหลักฐานและการเปรียบเทียบที่เปี่ยมด้วยเหตุผล เพื่อคลี่คลายความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนนี้อย่างเป็นระบบ

1. "ขอม": นิยามทางวัฒนธรรม มากกว่าชาติพันธุ์

อาจารย์สรรค์สนธิได้เปรียบเทียบอาณาจักรขอมกับอาณาจักรโรมัน เพื่อแสดงให้เห็นว่า การเรียกชื่ออารยธรรมมิได้หมายถึงเชื้อชาติเดียวกันทั้งมวล อาณาจักรขอมอันยิ่งใหญ่ในอดีต ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของศูนย์กลางอำนาจเดียวกัน ณ เมืองพระนคร (นครวัด นครธม)

ข้อมูลจากจารึกสมัยสุโขทัย เช่นที่วัดศรีชุม ระบุคำว่า "ขอม" ในฐานะกลุ่มคนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ขณะที่ในภาษาละว้า คำว่า "ขอม" แปลว่า "รัด" หรือ "ครอบ" ซึ่งสะท้อนแนวคิดว่า "ขอม" คือผู้มีอำนาจที่ครอบคลุมผู้คนหลายกลุ่ม

2. แยกอดีตออกจากปัจจุบัน: ขอม ≠ เขมร

อาจารย์ชี้ว่า การเหมารวมว่า "ขอม" เท่ากับ "เขมร" หรือประเทศกัมพูชาในปัจจุบันนั้น เป็นข้อผิดพลาดทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง สังคมโบราณเมื่อพันปีก่อนยังไม่มีรัฐชาติแบบปัจจุบัน คำว่า "Ancient Khmer" จึงถูกนักวิชาการตะวันตกใช้เพื่อเน้นถึงความเก่าแก่ของวัฒนธรรม โดยไม่ผูกติดกับแนวคิดเรื่องรัฐสมัยใหม่

ยิ่งไปกว่านั้น ชาวเขมรในปัจจุบันไม่ได้เรียกตนเองว่า "ขอม" และในภาษาเขมรไม่มีคำนี้ ความเข้าใจว่า "ขอม" คือเขมรในปัจจุบัน จึงเป็นการโยงอดีตเข้าสู่ปัจจุบันอย่างไม่มีหลักฐานรองรับ

3. ขอมในดินแดนไทย: หลักฐานจากปราสาทหิน

ศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบขอมที่ยังปรากฏอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน เช่น ปราสาทหินพิมาย และพนมรุ้ง เป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่ชี้ชัดว่า อาณาจักรขอมเคยขยายอิทธิพลมายังดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงลักษณะของอาณาจักรที่แผ่ขยายมากกว่าจะจำกัดในพรมแดนแบบรัฐสมัยใหม่

4. ขอมกับโรมัน: เปรียบเทียบอารยธรรมแห่งอำนาจ

อาจารย์สรรค์สนธิได้เสนอการเปรียบเทียบอาณาจักรขอมกับอาณาจักรโรมันอย่างลุ่มลึกว่า ทั้งสองคืออารยธรรมที่ครอบงำหลากหลายเชื้อชาติ การเป็นพลเมืองโรมันในอดีตไม่จำเป็นต้องมีเชื้อสายโรมัน เช่นเดียวกับการอยู่ภายใต้อำนาจขอมก็ไม่จำเป็นต้องเป็น "คนขอม" เพราะ "ขอม" คือสถานะทางการปกครอง ไม่ใช่เชื้อชาติ

5. การตีความทางประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาด

การพยายามเทียบคำว่า "ขอม" กับชาติพันธุ์ในปัจจุบัน เป็นการใช้ไม้บรรทัดคนละยุค การเข้าใจรัฐชาติยุคโบราณว่าคล้ายกับรัฐสมัยใหม่ เป็นการบิดเบือนทางตรรกะและประวัติศาสตร์ พรมแดนในอดีตไม่ชัดเจน ไม่มีแนวคิดเรื่อง "ความเป็นชาติ" หรือการมีพลเมืองรัฐแบบที่เราเข้าใจในศตวรรษที่ 21

6. การใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือทางการเมือง

อาจารย์ได้เตือนว่าการนำประวัติศาสตร์มาใช้เพื่ออ้างสิทธิ์เหนือทรัพย์สินทางวัฒนธรรมหรือดินแดนในปัจจุบัน เป็นเรื่องอันตราย เพราะจะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น การโต้แย้งว่า ปราสาทบางแห่งควรเป็นสมบัติของประเทศใด ทั้งที่ในความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้คือมรดกร่วมของมนุษยชาติ

7. ข้อเสนอเชิงแนวคิด: ยอมรับในความหลากหลายทางประวัติศาสตร์

ความเข้าใจของอาจารย์สรรค์สนธิ บุณโยทยาน เปิดมุมมองใหม่แก่สังคมไทยและผู้สนใจประวัติศาสตร์ ด้วยการชี้ว่า อาณาจักรในอดีตควรถูกมองผ่านเลนส์ของภูมิรัฐศาสตร์ในสมัยนั้น ไม่ใช่ผ่านกรอบของรัฐสมัยใหม่ การยอมรับว่า "ขอม" เป็นอารยธรรมที่ประกอบด้วยความหลากหลาย คือการยอมรับความจริงทางประวัติศาสตร์ และเป็นแนวทางที่เหมาะสมต่อการอยู่ร่วมกันในภูมิภาค

บทสรุป: คำว่า "ขอม" จึงควรถูกทำความเข้าใจใหม่ในฐานะชื่อของอารยธรรมและอำนาจทางการเมืองโบราณ ไม่ใช่ชื่อของชาติพันธุ์หรือประเทศ องค์ความรู้จากอาจารย์สรรค์สนธิ บุณโยทยาน เป็นประจักษ์พยานว่า ประวัติศาสตร์นั้นมีความลุ่มลึกกว่าความเข้าใจแบบตรงไปตรงมา และจำเป็นต้องอ่านด้วยสายตาที่แยกอดีตออกจากปัจจุบันอย่างถ่องแท้

ในยุคที่โลกกำลังรื้อฟื้นความทรงจำทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ข้อเสนอของอาจารย์จึงมิใช่เพียงแค่ความเห็น แต่คือการวางรากฐานทางปัญญาเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติในภูมิภาคที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรม

แหล่งอ้างอิง:

  • Wikipedia.org
  • Silpa-mag.com
  • Pantip.com
  • Mgronline.com
  • คลิปคำบรรยายของอาจารย์สรรค์สนธิ บุณโยทยาน