Health & Beauty
นักวิชาการชี้ถึงความสูญเสียทางสุขภาพ จากบุหรี่มากกว่2แสนล้านบาทในแต่ละปี

กรุงเทพฯ-นักวิชาการ ชี้ความสูญเสียทางสุขภาพจากบุหรี่มากกว่า 200,000 ล้านบาทในแต่ละปี ทั้งจากต้นทุนรักษาพยาบาล ตายก่อนวัยอันควร แนะรัฐบาลปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ 40% เหมาะกว่าใช้อัตราภาษีเดียว 25% ช่วยเพิ่มรายรับภาษี ราคาบุหรี่สูงขึ้น ลดจำนวนบุหรี่ในท้องตลาด ทำให้คนสูบลดลง
วันที่ 18 ส.ค. 2568 ที่ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) พบว่า การปรับภาษีสรรพสามิตยาสูบเป็น 2 อัตราในปี 2560 ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน รัฐจัดเก็บภาษียาสูบได้ลดลงนับหมื่นล้าน จึงมีนักวิชาการบางท่านเสนอแนะให้จัดเก็บภาษีเป็นอัตราเดียว และลดให้ต่ำลงเป็น 25% เพื่อเพิ่มยอดขาย และทำให้การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่การนี้จะทำให้จำนวนผู้สูบเพิ่มขึ้นมาก เกิดความเจ็บป่วยและภาระการรักษาพยาบาลตามมาอีกมหาศาล ดังนั้น ศจย.และเครือข่าย จึงจัดเสวนาสื่อ “ภาษียาสูบ : ทำอย่างไรจึงจะชนะ ทั้งรายได้รัฐและสุขภาพประชาชน” เพื่อรวบรวมข้อมูล ประสบการณ์ เสนอแนะแนวทางที่จะทำให้เกิดสมดุลระหว่างรายได้ของรัฐ และการลดจำนวนผู้สูบตามยุทธศาสตร์ของชาติ
นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ของแผนปฏิบัติการด้านการควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พศ. 2565 - 2570 จำนวน 6 ข้อ โดยข้อ 6 คือ การใช้มาตรการทางภาษี และการป้องกันและปราบปรามเพื่อควบคุมยาสูบ การขึ้นภาษีบุหรี่เปรียบได้กับยาขนานเอกในการควบคุมปริมาณการสูบ การปรับขึ้นภาษีอย่างสม่ำเสมอ มีประสิทธิภาพเพราะทำให้ราคาบุหรี่สูงขึ้นจนลดความสามารถในการซื้อหามาสูบ ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้เสนอแนะว่า การขึ้นราคาบุหรี่มีประสิทธิภาพสูงในการลดความต้องการบริโภค ราคาบุหรี่ที่สูงขึ้นช่วยหยุดและป้องกันการเริ่มใช้ยาสูบได้ และช่วยลดการบริโภคในกลุ่มผู้สูบต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยแล้วการเพิ่มราคาบุหรี่ ร้อยละ 10 จะลดความต้องการสูบบุหรี่ได้ประมาณ ร้อยละ 4 ในประเทศที่มีรายได้สูง และประมาณร้อยละ 5 ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง หากทำพร้อมกันทั่วโลกจะทำให้ผู้สูบบุหรี่ลดลง 42 ล้านคน และช่วยคนไม่เสียชีวิตจากบุหรี่ 10 ล้านคน
รศ.ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า การปรับอัตราภาษียาสูบ สิ่งต้องคำนึงถึงอันดับแรก คือ ผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน เพราะด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ชาวไร่ยาสูบ รายได้รัฐ บุหรี่หนีภาษี เป็นเรื่องที่มีมาตรการอื่นๆ มาจัดการได้ แต่เรื่องสุขภาพไม่สามารถมีอะไรมาทดแทนได้ โดยสถานการณ์การเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ในคนไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เช่น ระหว่างปี 2550-2560 จำนวนครั้งที่นอนโรงพยาบาลด้วยโรคที่เกิดจากบุหรี่เพิ่มขึ้นกว่า 70% และมักเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยการรักษาตัวในโรงพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด 1% แรก พบว่าเป็นโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ถึง 90% เฉพาะกองทุนบัตรทอง ปี 2560 ค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคที่เกิดจากบุหรี่ที่ต้องนอนโรงพยาบาลสูงถึงกว่า 21,000 ล้านบาท และหากคำนวณค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคในทุกกองทุนการรักษาพยาบาล ทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ค่าความสูญเสียเนื่องจากการเสียรายได้หากต้องขาดงานเมื่อเจ็บป่วย และค่าความสูญเสียเนื่องจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร มูลค่าความสูญเสียทางสุขภาพจากบุหรี่จะมีมากถึงกว่า 200,000 ล้านบาทในแต่ละปี ซึ่งสูงกว่ารายได้จากภาษียาสูบที่รัฐจัดเก็บได้ถึงกว่า 3 เท่า
“ในช่วงก่อนปี 2560 ที่ประเทศไทยมีการปรับขึ้นภาษีอัตราเดียวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาบุหรี่แพงขึ้น นอกจากรายได้ของรัฐจะเพิ่มขึ้นแล้ว ยังส่งผลกระทบด้านสุขภาพได้จริง โดยพบว่า อัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากโรคหัวใจขาดเลือดลดลง 4.7% ทุกๆ ราคาบุหรี่ ที่เพิ่มขึ้น 10 บาท ในกลุ่มอายุต่ำกว่า 45 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ควรเป็นโรคหัวใจ และปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของการป่วยด้วยโรคหัวใจขาดเลือดขณะอายุน้อย คือ การสูบบุหรี่ ซึ่งโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคที่เป็นสาเหตุการป่วยและเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยที่สูบบุหรี่ด้วย” รศ.ดร.พญ.เริงฤดี กล่าว
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ในปี 2560 ได้มีการปรับระบบภาษีบุหรี่ซิกาแรตโดยเก็บตามมูลค่าร่วมกับการเก็บตามปริมาณ โดยภาษีตามมูลค่ากำหนดเป็นสองอัตรา 20% สำหรับบุหรี่ที่ขายต่ำกว่าซองละ 60 บาท และ 40% สำหรับบุหรี่ที่ขายเกินซองละ 60 บาท ร่วมกับภาษีตามปริมาณมวลละ 1.2 บาท ซึ่งการปรับภาษีตามมูลค่าเป็น 2 อัตรา ส่งผลให้บุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศต่างลดราคาลงมาแข่งขันในระดับล่างเพื่อเสียภาษีน้อยลง ส่งผลให้รัฐบาลเก็บภาษีได้น้อยลง การยาสูบไทยเสียส่วนแบ่งตลาดให้แก่บุหรี่ต่างประเทศมากขึ้น กำไรการยาสูบฯ ลดลง ชาวไร่ยาสูบไทยได้รับโควต้าปลูกใบยาลดลง เดือดร้อนกันพร้อมหน้า แม้ในเดือนกันยายน พ.ศ.2562 องค์การอนามัยโลกจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับกรมสรรพสามิต และมีข้อแนะนำให้ปรับภาษีให้เหลืออัตราเดียวที่ 40% ตามมูลค่า หรืออาจจะต่ำกว่านั้น แต่กระทรวงการคลังมีการปรับอัตราภาษีเมื่อปี 2564 ยังคงเป็นสองอัตรา คือ 25% และ 42% แต่สถานการณ์ด้านการจัดเก็บภาษี ยอดขายบุหรี่การยาสูบไทยไม่ได้เพิ่มขึ้น ชาวไร่ยาสูบยังคงเดือดร้อนอยู่เช่นเดิม
“ข้ออ้างที่ว่าหากปรับอัตราภาษีสูงมากเกินไป จะทำให้บุหรี่หนีภาษีเพิ่ม เป็นข้ออ้างที่ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกไม่เห็นด้วย การแก้ปัญหาบุหรี่หนีภาษี ต้องเผชิญหน้าแก้ปัญหาที่ทำให้มีบุหรี่หนีภาษีโดยตรง เช่น การเพิ่มความพร้อมในการบังคับใช้กฎหมาย การปราบปรามคอร์รัปชัน หรือการยกเครื่องระบบการควบคุมบุหรี่เถื่อนด้วยการร่วมลงสัตยาบันในพิธีสาร การขจัดการค้ายาสูบผิดกฎหมายของอนุสัญญาควบยาสูบองค์การอนามัยโลก” ศ.นพ ประกิต กล่าว
ศ.ดร.อิศรา ศานติศาสน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลกด้านภาษียาสูบ กล่าวว่า จากสถานะจริงในปี 2566 ราคาขายเฉลี่ยบุหรี่ 65.99 บาท/ซอง มีรายรับภาษีสรรพสามิต 56,531.82 ล้านบาท และยอดขาย 1,333.36 ล้านซอง ซี่งจากการศึกษาการปรับโครงสร้างและอัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ซิกาแรต : ทางเลือกนโยบายภาษีและผลกระทบต่อรายรับภาษีและการสูบบุหรี่ โดยศึกษาเปรียบเทียบ 3 ทางเลือก ประกอบด้วย การปรับขึ้นภาษีอัตราตามมูลค่า 25% ,อัตราตามมูลค่า 42% และอัตราตามปริมาณ 40 บาท/ซอง พบว่า ทางเลือกที่ 1 ตามมูลค่าอัตราเดียว 25% ของราคาขาย+อัตราตามมูลค่า 25 บาท/ซอง เป็นทางเลือกที่แย่ที่สุด ราคาขายเฉลี่ยจะลดลงเป็น 64.94 บาท/ซอง รายรับภาษี 55,599.62 ล้านบาท (ลดลง 932.2 ล้านบาท) ยอดขาย 1,342.66 ล้านซอง (เพิ่มขึ้น 9.3 ล้านซอง) ขณะที่ ทางเลือกที่ 2 อัตราตามมูลค่าอัตราเดียว 42% ของราคาขาย+อัตราตามปริมาณคงเดิมที่ 25 บาท/ซอง ราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 84.07 บาท/ซอง โดยมีรายรับภาษี 70,343.27 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13,811.45 ล้านบาท) และมียอดขาย 1,091.42 ล้านซอง (ลดลง 241.94 ล้านซอง) ส่วนทางเลือกที่ 3 อัตราตามปริมาณ 40 บาท/ซอง+อัตราตามมูลค่าคงเดิมที่ 42% และ 25% ของราคาขายปลีก ราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มเป็น 86.41 บาท/ซอง โดยมีรายรับภาษี 72,278.30 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 15,746.48 ล้านบาท) และยอดขาย 1,064.63 ล้านซอง (ลดลง 268.73 ล้านซอง)
“ทางเลือกขึ้นภาษีที่ควรจะเป็นคือ การปรับให้เพิ่มมากกว่า 25% ขณะที่ทางเลือกขึ้นอัตราภาษีเดียว 25% จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะจะยิ่งทำให้คนสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้นแต่รายรับภาษีรัฐลดลง ดังนั้นขอเสนอแนะรัฐบาลให้ปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ซิกาแรต 40% เหมาะกว่าใช้อัตราภาษีเดียว 25% จะช่วยเพิ่มรายรับภาษี ราคาบุหรี่สูงขึ้น ลดจำนวนบุหรี่ในท้องตลาด ทำให้คนสูบลดลง” ศ.ดร.อิศรา กล่าว