Think In Truth

หายนะดอลลาร์: การก้าวสู่ยุคทองของสหรัฐฯ   โดย: ฟอนต์ สีดำ



ในห้วงเวลาที่ภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจโลกกำลังสั่นคลอนจากคลื่นความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ปัญหาที่เคยถูกมองข้ามหรือซุกซ่อนไว้ใต้พรม กำลังปรากฏตัวขึ้นอย่างชัดเจนและคุกคามเสถียรภาพของระบบการเงินที่เคยแข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกา การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์อีกครั้ง ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง แต่เป็นการจุดชนวนความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์สหรัฐและเศรษฐกิจโลกโดยรวม บทความนี้จะเจาะลึกถึงสัญญาณเตือนภัยที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในสหรัฐฯ โดยเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับกรณีศึกษาของตุรกี ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของหายนะที่อาจเกิดขึ้นเมื่อการเมืองเข้าครอบงำธนาคารกลาง และชี้ให้เห็นถึงทางออกที่นักลงทุนทั่วโลกกำลังมองหาเพื่อปกป้องสินทรัพย์ของตนเอง

วิกฤตหนี้สินที่กัดกร่อนรากฐานของมหาอำนาจ

ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาในขณะนี้คือ ภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่กำลังพุ่งทะยานสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ข้อมูล ณ วันที่ 1 กันยายน 2568 ชี้ให้เห็นว่าหนี้สาธารณะของประเทศสูงถึง 37.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและสะท้อนให้เห็นถึงการใช้จ่ายที่เกินตัวมาอย่างยาวนานของรัฐบาล ภาระหนี้ก้อนมหาศาลนี้ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางบัญชี แต่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเพียงอย่างเดียวก็สูงถึง 1.013 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นภาระทางการคลังที่หนักอึ้งและบีบรัดงบประมาณสำหรับโครงการอื่นๆ ที่จำเป็น

การจัดการกับปัญหานี้ รัฐบาลมีทางเลือกที่จำกัดและล้วนแต่มีราคาที่ต้องจ่ายสูง ทางเลือกแรกคือการ ขึ้นภาษีอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นแนวทางที่นักการเมืองมักหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนผู้เสียภาษี ทางเลือกที่สอง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายกังวลว่ารัฐบาลจะเลือกใช้คือ การพิมพ์เงินเพิ่ม เพื่อนำมาชำระหนี้เก่า ซึ่งแม้จะเป็นวิธีการที่รวดเร็วและดูเหมือนจะแก้ปัญหาได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วมันไม่ต่างอะไรกับการ "ฉีดมอร์ฟีนเพื่อระงับความเจ็บปวด" เพราะการเพิ่มปริมาณเงินในระบบจะส่งผลให้เงินเฟ้อรุนแรงขึ้นและกัดกินมูลค่าของเงินอย่างช้าๆ

แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed จะพยายามควบคุมเงินเฟ้อ แต่ข้อมูลล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2568 ชี้ให้เห็นว่า เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ยังคงสูงถึง 3.1% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2% อย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาเงินเฟ้อไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ได้ แทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างทางเศรษฐกิจ อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าบ้านที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น หรือค่าบริการต่างๆ ที่ขยับตามราคาสินค้า เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่ฝังรากลึกและยากจะแก้ไข

เส้นทางสู่หายนะ: บทเรียนจากตุรกีและการกระทำของทรัมป์

สถานการณ์ในสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีความคล้ายคลึงอย่างน่าตกใจกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในตุรกีภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี เรเจบ ไตยิป แอร์โดอัน ซึ่งมีความเชื่อที่แปลกแยกจากหลักเศรษฐศาสตร์สากลว่า ดอกเบี้ยสูงเป็นสาเหตุของเงินเฟ้อ ด้วยความเชื่อนี้เอง เขาได้เข้าแทรกแซงธนาคารกลางของตุรกีอย่างต่อเนื่อง ปลดผู้ว่าการธนาคารกลางหลายคน และกดดันให้มีการลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรง การกระทำดังกล่าวได้ทำลายความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง ส่งผลให้ค่าเงินลีราของตุรกีร่วงลงอย่างหนักจาก 4.8 ลีราต่อดอลลาร์ในปี 2018 เหลือ 41 ลีราต่อดอลลาร์ ในวันที่ 1 กันยายน 2568 และนำไปสู่ภาวะ เงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดถึง 85.55% ในเดือนตุลาคม 2022

เมื่อพิจารณาถึงการกลับมาเป็นประธานาธิบดีของ โดนัลด์ ทรัมป์ การกระทำของเขาที่แสดงออกอย่างชัดเจนในการ เข้าควบคุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จึงเป็นสัญญาณที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เขามีความต้องการที่จะปลดผู้ว่าการเฟด และต้องการให้เฟดลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรงถึง 3% หรือ 300 basis point ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่ต่างอะไรกับการทำลายความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังอย่าง Fath อดีตที่ปรึกษาของเจอโรม พาวเวลล์ ได้ออกมาเตือนอย่างตรงไปตรงมาว่า "ความเป็นอิสระของเฟดกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย" หากเฟดไม่สามารถตัดสินใจตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์ได้อย่างอิสระและต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจทางการเมือง เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็อาจเผชิญชะตากรรมที่น่าเศร้าเช่นเดียวกับเงินลีราของตุรกี

ทางหนีจากหายนะ: เมื่อดอลลาร์ไม่เป็นที่หลบภัยอีกต่อไป

วิกฤตการณ์ที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่มีความแตกต่างจากวิกฤตครั้งก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะมันไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก แต่เป็นผลจาก ปัญหาภายในประเทศ อย่างวิกฤตหนี้สินและวิกฤตความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง เมื่อนักลงทุนทั่วโลกเริ่มตระหนักว่าเงินดอลลาร์ไม่ได้เป็น "ที่หลบภัย" (Safe Haven) ที่น่าเชื่อถืออีกต่อไป เงินทุนที่เคยไหลเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ก็จะเริ่ม ไหลออก เพื่อแสวงหาสินทรัพย์อื่นที่ให้ความมั่นคงมากกว่า

ทางเลือกที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนและธนาคารกลางทั่วโลกคือ:

  • กลุ่ม BRICS: กลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่กำลังท้าทายอำนาจของดอลลาร์สหรัฐฯ สมาชิก 10 ประเทศในกลุ่มนี้ได้หันมาทำธุรกรรมระหว่างกันด้วยสกุลเงินท้องถิ่นได้ถึง 90% และกำลังมีการพูดถึงระบบชำระเงินของตนเองที่เรียกว่า BRICS Pay ซึ่งเป็นการลดการพึ่งพิงระบบการเงินโลกที่ใช้ดอลลาร์เป็นหลักอย่างชัดเจน
  • ทองคำ: ในฐานะสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานว่าสามารถรักษามูลค่าได้ในยามวิกฤต ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีนและอินเดีย ได้ลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และหันมา สะสมทองคำในปริมาณมหาศาล ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าประเทศเหล่านี้กำลังเตรียมพร้อมสำหรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

โอกาสท่ามกลางความท้าทาย: การปรับพอร์ตการลงทุนในยุคใหม่

ในห้วงเวลาแห่งความผันผวนนี้ กูรูทองคำอย่าง Peter Schiff ได้แนะนำให้นักลงทุน ย้ายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันตัวเองจากภาวะเงินเฟ้อได้ เช่น ทองคำ และสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของกองทุนระดับโลกหลายแห่ง เช่น Harvard Management Company ซึ่งได้ย้ายเงินก้อนใหญ่เข้าลงทุนใน ทองคำและ Bitcoin การกระทำนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเงินจำนวนมหาศาลกำลัง "มองหาทางหนีออกจากระบบเก่า" เพื่อแสวงหาสินทรัพย์ที่ไม่ผูกติดกับชะตากรรมของสกุลเงินดอลลาร์ที่กำลังเสื่อมค่า

บทสรุปส่งท้าย

การเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐฯ ครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ชี้ชะตาของเงินดอลลาร์สหรัฐและระบบการเงินโลก หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สามารถเข้าควบคุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้สำเร็จ และเดินตามรอยนโยบายที่ไม่เป็นไปตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์เช่นเดียวกับผู้นำตุรกี วิกฤตการณ์การเงินครั้งใหญ่ก็อาจเกิดขึ้นจริง และเงินดอลลาร์สหรัฐก็อาจสูญเสียสถานะความเป็นสกุลเงินสำรองของโลกในที่สุด อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤตนี้ก็มีโอกาสสำหรับผู้ที่มองเห็นการณ์ไกลและสามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

การตัดสินใจเข้าควบคุมธนาคารกลางสหรัฐฯ Federal Reserveของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ เป็นการตัดสินใจที่สำคัญในการตัดขาดจากการควบคุมระบบการเงินของประเทศจากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะธนาคารโลก World Bank ซึ่งเป็นการปลดปล่อยอิสระภาพทางการเงินจากระบบการเงิน FIAT หรือระบบ SWIFT  ที่พยายามให้ธนาคารกลางของทุกประเทศทั่วโลกเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐบาลกลางของประเทศต่างๆ ซึ่งจะดูเสมือนกับการเป็นรัฐอิสระที่มีอำนาจควบคุมการบริหารการเงินของประเทศโดยไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลางของประเทศนั้นๆ แต่กลับกัน ธนาคารกลางของประเทศกลับดำเนินการตามแนวทางและหลักการทางการเงินที่กำหนดโดยธนาคารโลกที่มีกลุ่มอิทธิพลทางการเงิน (CABAL) ควบคุมทิศทางในการตัดสินใจตามทฤษฎีและหลักการที่ฝ่ายตนได้วางเงื่อนไขทางความคิดผ่านมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

เสรีภาพทางการเงินที่นำเอาระบบการเงิน QFS เข้ามาแทนระบบ SWIFT ถือว่าเป็นความกล้าหาญที่โดนัล ทรัมป์ ได้ปลดปล่อยความเป็นทาสของประชาชนสหรัฐฯ จากกับดักหนี้สิน แล้วนำพาประชาชนก้าวสู่ยุคทอง และอิสระภาพทางการเงิน ที่จะนำพาประชากรของสหรัฐฯได้ร่วมกันสร้างความมั่งคั่ง ด้วยศักยภาพ ความรู้ ความสามารถภายในตนเอง ได้สร้างความมั่นคง และยั่งยืนต่อไปในอนาคต

แหล่งอ้างอิง:

  • "The US Currency Crisis! Trump's Dangerous Plan 'Triggers' a Turkish-Style Crisis, the Collapse of the Dollar!" Money and Economics Live, YouTube video.
  • Federal Reserve Bank of St. Louis. Federal Debt: Total Public Debt.
  • Economic data from public sources, including the Consumer Price Index (CPI).
  • Analyses and interviews from economists such as Fath and Peter Schiff.
  • Investment data and reports from global funds like Harvard Management Company.