ECO & ESG
Aluminium Loopร่วมภาคีสิ่งแวดล้อม ปักธง'เกาะเต่าโมเดล'จัดการขยะต้นแบบ

กรุงเทพฯ-เกาะท่องเที่ยวของไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับวิกฤตขยะล้นเกาะที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ในแต่ละปี นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต่างหลั่งไหลเข้ามาสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ แต่ในขณะเดียวกันกลับทิ้งร่องรอยเป็นกองขยะสะสมบนเกาะ หรือเล็ดลอดลงสู่ทะเล โดยเฉพาะขยะบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มอย่างกล่องโฟม ขวดและถุงพลาสติก รวมถึงขวดแก้ว ล้วนเป็นบรรจุภัณฑ์ที่จัดการยากในพื้นที่ ปัญหานี้่ไม่เพียงกระทบสิ่งแวดล้อม แต่กำลังส่งผลต่อการท่องเที่ยวของประเทศและกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจในระยะยาว
“เกาะเต่า” หนึ่งในสวรรค์แห่งท้องทะเลไทย กำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน โดยข้อมูลจากมูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (3R) ในปี 2567 เพียงปีเดียว มีขยะบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มบนเกาะกว่า 936 ตัน หรือ 78 ตันต่อเดือน ซึ่งปล่อยคาร์บอนประมาณ 881 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี โดยขยะส่วนใหญ่เป็นขวดแก้วซึ่งมีน้ำหนักมาก แตกง่าย และมีมูลค่ารับซื้อคืนต่ำ จึงยากต่อการขนส่งออกนอกเกาะ
“ทุกครั้งที่นักท่องเที่ยวกลับบ้าน เราต้องอยู่กับขยะที่ทิ้งไว้” ตัวแทนชาวบ้านเกาะเต่ากล่าวสะท้อนปัญหาที่คนในพื้นที่เผชิญมายาวนาน ซึ่งขยะจำนวนมากสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกับบั่นทอนคุณภาพชีวิตและอาจกระทบรายได้จากการท่องเที่ยวในอนาคต โดยเฉพาะขยะประเภทที่ยากต่อการจัดการในพื้นที่เกาะซึ่งเป็นพื้นที่อ่อนไหว เช่น ขวดแก้ว ที่ยากต่อการขนส่งออกนอกเกาะ ด้วยน้ำหนักที่มากและแตกหักได้ง่าย เสี่ยงต่ออุบัติเหตุและเป็นอุปสรรคด้านน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ไม่ได้เป็นปัญหาในพื้นที่ทั่วไป เพียงแต่อาจจะไม่เหมาะสมในบางพื้นที่เท่านั้น การแก้ไขจึงจำเป็นต้องเริ่มที่ระบบจัดการขยะครบวงจรตั้งแต่ต้นทาง โดยเริ่มจากการพิจารณาถึงการนำเข้าบรรจุภัณฑ์ที่จัดการง่ายกว่าเข้ามาในพื้นที่เกาะแทน
Aluminium Loop ผู้นำด้านการจัดการระบบรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มอลูมิเนียมแบบวงจรปิด (Closed Loop Recycling) รายแรกในไทย ร่วมกับ มูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (3R) เทศบาลตำบลเกาะเต่า กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมการท่องเที่ยว ร่วมด้วยองค์กรระหว่างประเทศอย่าง องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ตลอดจนสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะเต่าผู้ประกอบการท่องเที่ยว รีสอร์ต ร้านค้า ร้านอาหาร บาร์ และร้านรับซื้อของเก่าในพื้นที่เกาะเต่า รวมถึงความร่วมมือจากบริษัทเอกชนรายใหญ่ ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่สนับสนุนการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มให้จัดการง่ายขึ้นตามหลัก Eco-design และสามารถหมุนเวียนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ร่วมกันพัฒนาการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนผ่านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นำร่อง “เกาะเต่าโมเดล” ภายใต้ “โครงการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) โดยการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ พัฒนาระบบขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) และระบบจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่เกาะเต่า อําเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี” มาตั้งแต่ปี 2566 โดยมีหัวใจสำคัญเพื่อปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่จัดการยากให้เป็นกระป๋องอลูมิเนียมซึ่งจัดการง่ายกว่า และมีคุณสมบัติที่สามารถรีไซเคิลได้ทั้งใบโดยไม่สูญเสียคุณภาพ อีกทั้งยังมีมูลค่ารับซื้อคืนที่สูงกว่าบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่น เนื่องจากมีน้ำหนักเบาและสามารถบีบอัดเพื่อลดพื้นที่จัดเก็บได้ ทำให้ง่ายและคุ้มค่าต่อการขนส่งออกจากพื้นที่เกาะ
นายภวินท์ ชยาวิวัฒน์กุล ผู้ก่อตั้ง Aluminium Loop กล่าวว่า “Aluminium Loop เข้าไปทำหน้าที่เป็น “ตัวเชื่อม” ในการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มอลูมิเนียมอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เราส่งเสริมให้กระป๋องอลูมิเนียมเป็นทางเลือกหลักของชุมชนและนักท่องเที่ยว พร้อมกระตุ้นการคัดแยกหลังดื่มเสร็จ นำไปสู่แคมเปญ “เปลี่ยนเป็นกระป๋อง = ปกป้องทะเลไทย” ที่ตอกย้ำว่ากระป๋องอลูมิเนียมสามารถรีไซเคิลได้ทั้งใบในระบบวงจรปิดที่ทำให้กระป๋องกลับมาเป็นกระป๋องอย่างไม่รู้จบ ช่วยลดต้นทุน ลดปัญหาขยะ และความเสี่ยงจากการหลุดลอดไปเป็นขยะตกค้างในสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังสร้างรายได้เสริมให้ชุมชนจากการเก็บรวบรวมและขายคืนขยะบรรจุภัณฑ์ที่มีมูลค่า ซึ่งไม่เพียงปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่ยังคืนคุณค่าให้กับชุมชนอีกด้วย”
ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการการนำเข้าบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มเข้ามาในพื้นที่เกาะเต่า ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วที่จัดการยากมาเป็นกระป๋องอลูมิเนียมได้มากกว่า 90% ซึ่งส่วนที่เหลือเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่ยังไม่มีกระป๋องอลูมิเนียมมาทดแทน พร้อมพัฒนาระบบเก็บรวบรวมและขนส่งออกจากเกาะอย่างมีประสิทธิภาพ จากการรายงานของมูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (3R) ส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปี 2568 เกาะเต่าสามารถลดปริมาณน้ำหนักขยะบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มตกค้างในพื้นที่โดยรวมลงได้ถึง 67% เหลือเฉลี่ย 30 ตันต่อเดือน ขณะที่การปล่อยคาร์บอนลดลง 31% เหลือเพียงเฉลี่ย 59 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อเดือน
“เกาะเต่าโมเดลแสดงให้เห็นว่าปัญหาขยะไม่อาจแก้ได้ด้วยหน่วยงานเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งยังมีอีกหลายเกาะในประเทศไทยที่ต้องไม่ถูกทิ้งให้จมอยู่กับปัญหาขยะ เราอยากเห็นเกาะเหล่านี้กลับมามีคุณค่าที่ทั้งประเทศภูมิใจ และหวังว่าภาครัฐจะเข้ามาสนับสนุนงบประมาณเพื่อขยายผลโครงการต่อไป” นายภวินท์ ทิ้งท้าย
นางรำลึก อัศวชิน นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะเต่า เสริมว่า “ในช่วงแรก ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวบางส่วนกังวลเรื่องราคาและรสชาติของเครื่องดื่มในบรรจุภัณฑ์กระป๋องอลูมิเนียม แต่ในความเป็นจริงรสชาติไม่ได้เปลี่ยนไป ขณะที่ราคาที่สูงขึ้นเล็กน้อย ทุกฝ่ายต่างยอมรับได้เพราะเป็นการร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปัจจุบันการเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่เกาะ เช่น กระป๋องอลูมิเนียม ได้รับการตอบรับอย่างดี ทำให้จัดการขยะได้ง่ายขึ้นและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้เก็บรวบรวม ทั้งนี้ ขวดแก้วยังคงเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณค่าและเหมาะสมในหลายพื้นที่เพียงแต่สำหรับพื้นที่เกาะเต่า การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เคลื่อนย้ายสะดวกและรีไซเคิลได้ง่ายกว่าช่วยตอบโจทย์การจัดการขยะได้ตรงจุดมากกว่า โครงการนี้จึงทำให้ทุกคนตระหนักว่าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคือ “ต้นทุนของเกาะ” และ หวังว่าความพยายามมุ่งมั่นของพวกเราชาวเกาะเต่าจะสร้างแรงบันดาลใจ เป็นโมเดลด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนแก่เกาะอื่นๆ ในประเทศไทยให้สามารถนำไปปรับใช้ตามบริบทของตนได้”
ในขณะที่ นายอวยชัย ศรีทอง ปลัดเทศบาลตำบลเกาะเต่า ให้ข้อมูลว่า “เพื่อให้การจัดการขยะในพื้นที่เกาะเต่าเป็นไปอย่างยั่งยืน เทศบาลกับชุมชนต้องแก้ปัญหาวิกฤตขยะนี้ร่วมกัน และเพื่อยกระดับการจัดการ โดยเฉพาะกรณีการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ เทศบาลจะออกข้อบังคับที่ชัดเจน อย่างข้อบัญญัติท้องถิ่นเรื่องการจัดการขยะหลังบริโภค รวมถึงต้องสร้างความเข้าใจ กับคนในชุมชนให้ตระหนักถึงการจัดการขยะอย่างถูกวิธี และสื่อสารกับนักท่องเที่ยวให้ปฏิบัติตามกฎของพื้นที่อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถจัดการขยะจากการท่องเที่ยวของเกาะได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นทาง”
นายสุคนธ์ หนูภักดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวย้ำว่า “ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ที่ไม่เพียงช่วยลดปัญหาขยะ แต่ยังรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของเกาะเต่า” นอกจากนี้ ด้านสมาคมการจัดการขยะแห่งประเทศไทย มองว่าสิ่งที่จะทำให้คนยอมเปลี่ยนพฤติกรรม ต้องเริ่มจากการตระหนักรู้ว่าพฤติกรรมเดิมส่งผลกระทบอย่างไรทั้งต้นทางและปลายทาง ขณะเดียวกันภาครัฐควรเร่งผลักดันกฎหมาย EPR ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อกำหนดความรับผิดชอบของผู้ผลิตอย่างชัดเจน และเป็นกลไกสำคัญในการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ โดยไม่ใช่การผลักภาระให้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการขยะและระบบรีไซเคิลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“เกาะเต่าโมเดล” ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จสำหรับเกาะเล็กๆ กลางอ่าวไทย และเป็นบทพิสูจน์ว่าหากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ระบบการจัดการขยะที่ยั่งยืนก็สามารถเกิดขึ้นได้จริง พร้อมก้าวไปเป็น ต้นแบบระดับชาติในการปกป้องทะเลไทยให้คงความงดงาม เป็นมรดกทางธรรมชาติที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และเป็นพลังในการสร้างรายได้ที่มั่นคงสู่ประเทศต่อไป