Travel Sport & Entertain

CEAสงขลาจุดประกายศก.สร้างสรรค์ใต้ ด้วยเทศกาลงานออกแบบปักษ์ใต้



กรุงเทพฯ-สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA สานต่อภารกิจขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภาคใต้สู่ความยั่งยืนด้วยการจัดเทศกาลงานออกแบบปักษ์ใต้ 2568 (Pakk Taii Design Week 2025) หรือ PTDW2025ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ภายใต้ธีม“South Paradise มาใต้บายใจให้ถึงหวัน”ระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม - 7 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ณ จังหวัดสงขลาตลอด 11 วันของการจัดงานได้พิสูจน์แล้วว่าเทศกาลฯเป็นมากกว่าเวทีแสดงผลงานออกแบบแต่ยังเป็น ‘เครื่องมือ’ ที่ปลุกพลังสร้างสรรค์ของปักษ์ใต้ให้พร้อมก้าวสู่การเป็นภูมิภาคสร้างสรรค์ที่มีคุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ทั้งด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการต่อยอดศักยภาพของผู้คนในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนตั้งแต่ชุมชนนักสร้างสรรค์สถาบันการศึกษาภาคเอกชนและหน่วยงานรัฐท้องถิ่นพร้อมผลักดันให้เมืองสงขลากลายเป็น ‘เมืองสร้างสรรค์’ ที่ ‘น่าอยู่น่าลงทุนน่าท่องเที่ยว’ เชื่อมโยงอดีตปัจจุบันและอนาคตไว้อย่างกลมกลืนคาดการณ์มูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่ตลอดการจัดงานไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท

ต่อยอดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสู่ ‘เศรษฐกิจแห่งความสบายใจ’

ปัจจุบันการท่องเที่ยวยังคงเป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจไทยโดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามากว่า 40 ล้านคนสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 3.5 ล้านล้านบาทเมื่อเจาะลึกลงมาที่ภาคใต้ พบว่าภูมิภาคนี้มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง โดยในปี 2565 มูลค่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของภาคใต้สูงถึง 85,306 ล้านบาทซึ่งกว่าร้อยละ 80 มาจากภาคการท่องเที่ยวคิดเป็นรายได้กว่า68,170 ล้านบาทตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่า ‘การท่องเที่ยว’ คือเส้นเลือดใหญ่ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของภูมิภาคและเป็นฐานทุนที่พร้อมต่อยอดไปสู่การพัฒนาในมิติใหม่ ๆ

ดร. ชาคริตพิชญางกูรผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์กล่าวว่า“ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สะท้อนศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แสดงให้เห็นว่าภาคใต้พร้อมก้าวสู่เวทีเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับนานาชาติ และเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว CEA ได้วางกลยุทธ์ของเทศกาลงานออกแบบปักษ์ใต้ภายใต้แนวทาง Area-Based Platform ที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สาขาอื่น ๆ ทั้งศิลปะอาหารแฟชั่นดนตรีและงานคราฟต์ โดยมุ่งยกระดับสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้สอดรับกับเทรนด์โลกด้านเศรษฐกิจแห่งความสบายใจ (De-Stress Economy) ที่เน้นการออกแบบสินค้าบริการและประสบการณ์เพื่อช่วยลดความตึงเครียดเสริมความสงบและสร้างสุขภาวะเทศกาลฯจึงนำสินทรัพย์และอัตลักษณ์ของทั้ง 14 จังหวัดมาตีความใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์เชิงลึกและการเยียวยาจิตใจมากกว่าการพักผ่อนทั่วไป”

“ยิ่งไปกว่านั้นเทศกาลฯ ยังทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยยกระดับภาคใต้ให้เป็นจุดหมายที่สะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิต พร้อมต่อยอดสู่การลงทุนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทุกสาขาตั้งแต่การพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area-Based) ขยายสู่การพัฒนาเชิงอุตสาหกรรม (Industry-Based) และต่อเนื่องสู่การพัฒนาเชิงความรู้ (Knowledge-Based) เพื่อเสริมศักยภาพคนในพื้นที่ควบคู่กับการเติบโตของเศรษฐกิจสร้างสรรค์”

คุณฆฤณกังวานกิตติผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์สงขลาเสริมว่า “สำหรับเทศกาลงานออกแบบปักษ์ใต้ 2568 CEA สงขลาได้ขยายพื้นที่จัดงานให้ครอบคลุมย่านใหม่อย่าง ‘ถนนเพชรคีรี’ และเปิดโอกาสให้นักสร้างสรรค์รุ่นใหม่จาก 14 จังหวัดภาคใต้ได้สร้างสรรค์และนำเสนอมุมมองใหม่ ๆ ของจังหวัดตนเองรวมถึงสะท้อนพลังความร่วมมือของ ‘ชาวปักษ์ใต้’ ที่ได้แลกเปลี่ยนทักษะข้ามศาสตร์และการได้พาร์ตเนอร์ใหม่ ๆ ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงความพร้อมที่จะเปิดรับ ‘โอกาสใหม่’ และการ ‘ต่อยอด’ เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสว่าภาคใต้ ‘มีดี’ และ ‘มีโอกาส’ โดยเทศกาลฯสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยกว่า 200,000 คนจากการขยายระยะเวลาการจัดงานเป็น 11 วันซึ่งตรงกับช่วงวันชาติของมาเลเซีย (31 สิงหาคม) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านอีกทางหนึ่งด้วย”

ตัวอย่างผลงานที่สะท้อนพลังสร้างสรรค์จากคนท้องถิ่นปลุกชีวิตให้จังหวัดในภาคใต้

เทศกาลฯไม่เพียงสะท้อนมิติทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าภาคใต้กำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางความคิดสร้างสรรค์ระดับนานาชาติ ที่สามารถบ่มเพาะความร่วมมือระหว่างชุมชนนักสร้างสรรค์และพันธมิตรภาครัฐกับเอกชนได้อย่างแข็งแกร่งด้วยการนำเสนอผลงานของนักสร้างสรรค์จากทั้ง 14 จังหวัดที่นำพลังความคิดสร้างสรรค์มาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจจนนำมาสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้และนี่คือตัวอย่างผลงานจาก 5 จังหวัดประกอบด้วยพังงาสุราษฎร์ธานีนราธิวาสยะลาและสตูล

“เจริญอ่านเภสัช” จังหวัดพังงาโดย Soul Friend & Spiritual Garden

ร้านขายยาธรรมดาถูกตีความใหม่เป็น ‘ร้านจ่ายยารักษาใจ’ โดยธวิศรุตบุรพัฒน์และชนชญาไชยอิ่นคำสองนักสร้างสรรค์จากSoul Friend & Spiritual Gardenภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘พังงาพลังบวก’ ที่ยกระดับพื้นที่ให้กลายเป็นศูนย์กลางเยียวยาจิตใจด้วยการนำเสนอหนังสือและกิจกรรมสร้างสมดุลทั้งการฝึกสมาธิโยคะศิลปะและ Sound Healing พร้อมชวนทุกคนออกเดินทางตาม ‘10 เส้นทางเยียวยาใจ’ ตั้งแต่การภาวนาจิตดำน้ำแบบฟรีไดฟ์ไปจนถึงการเล่นเซิร์ฟเพื่อเชื่อมโยงผู้คนสู่คอมมิวนิตี้การดูแลใจอย่างแท้จริงคุณธวิศรุตกล่าวว่า “ความคิดสร้างสรรค์ไม่เพียงสร้างรายได้แต่ยังช่วยแก้ปัญหาสังคมและเปิดพื้นที่ให้ศิลปินได้แลกเปลี่ยนเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน”

ท่าน้ำอัคนีวุธถนนนครนอกกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่ออัมพรเจียรนัยและสุชาครีย์สังข์สาลีจากArt in Paradise Schoolนำเสนอเทศกาล “Island Frequencies: Music, Art & Paradise” โดยถ่ายทอดเสน่ห์ศิลปะและดนตรีจากเกาะสมุยเกาะพะงันและเกาะเต่ามาสู่ใจกลางเมืองสงขลาการแสดงผสมผสานอัตลักษณ์ชาวเกาะกับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ และความร่วมมือกับดีเจชาวฝรั่งเศสเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ที่เชื่อมท้องถิ่นกับสากล ขณะเดียวกันยังมีห้องสมุดยับเอี่ยนฉ่อยที่จัดแสดงนิทรรศการ “เก้าอี้ 3 ตัว” จากวัสดุรีไซเคิลที่เล่าเรื่องราวการดูแลรักษาท้องทะเลจากขยะรวมจนถึงวิถีชีวิตและเสียงทะเลให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสโดยความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การดึงคนรุ่นใหม่กลับบ้านเกิด แต่ยังสะท้อนโอกาสของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เติบโตจากงานศิลปะของชุมชนและความภาคภูมิใจของคนในพื้นที่ ที่สามารถต่อยอดวัฒนธรรมสู่การท่องเที่ยวได้

นราธิวาสกำลังเป็นพื้นที่วัฒนธรรมที่น่าจับตาโครงการDe’ Lapae Art Spaceชวนให้ผู้คนกลับมาค้นหามิติใหม่ของนราธิวาสผ่านการตีความสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมอย่างสถาปัตยกรรมเก่าแก่สายน้ำป่าเขาและเรื่องเล่าท้องถิ่นที่คุ้นเคยแต่ถูกละเลยโดยมีดร. ปรัชญ์พิมานแมนและผศ. คีต์ตาอิสรั่นนำทีมศิลปินนักออกแบบและชุมชนสร้าง ‘บทสนทนา’ (Dialogue) ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน โดยเปิดพื้นที่ให้ศิลปินได้ลงลึกกับชุมชนเพื่อถอดรหัสอัตลักษณ์และตีความใหม่ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือผลงานของกลุ่มBunga Melayuที่ศึกษาลวดลาย ‘เรือกอและ’ และต่อยอดสู่งานออกแบบร่วมสมัยขณะที่กลุ่มMuslimah Collectiveลงพื้นที่บ้านกูยิทำงานคลุกคลีกับผู้คนจริงเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่นส่วนกลุ่มRolling Wildที่ใช้ฟิล์ม Super 8 บันทึกภาพเคลื่อนไหวของชุมชนจังหวัดนราธิวาสแบบที่ไม่เคยเห็น ได้ถ่ายทอดบรรยากาศของพื้นที่จนกลายเป็นบันทึกความทรงจำที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ดร. ปรัชญ์ ย้ำว่าการอนุรักษ์ที่แท้จริงคือต้องทำให้มรดกมีชีวิตและสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจสำคัญที่จะสร้างคุณค่าในอนาคตได้ต่อไป

  ยะลาตอกย้ำศักยภาพในฐานะศูนย์กลางแฟชั่นมลายูกับโครงการ “NAYU COUTURE” ภายใต้แนวคิด YALA ICON โดยมีเอกรัตน์สุวรรณรัตน์นำทีมสร้างสรรค์โครงการนี้มุ่งยกระดับอัตลักษณ์มลายูสู่เวทีแฟชั่นร่วมสมัยภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Real McCoy” ที่เน้นความแท้จริงและการเล่าเรื่องอย่างภาคภูมิใจไฮไลต์สำคัญคือแฟชั่นโชว์คอลเล็กชันพิเศษ 15 ผลงานสะท้อนความประณีตของหัตถศิลป์ท้องถิ่นตั้งแต่บาติกปั๊มลายจนถึงการปักกะปิเยาะห์ควบคู่กับนิทรรศการและเวทีเสวนาที่เชื่อมโยงนักออกแบบช่างฝีมือและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์คุณเอกรัตน์กล่าวว่ายะลามีรากฐานแฟชั่นมลายูที่ลึกซึ้ง และแฟชั่นร่วมสมัยสามารถเดินเคียงคู่กับมรดกทางวัฒนธรรมได้อย่างทรงพลัง ด้วยการนำทักษะของช่างฝีมือมาผสานกับมุมมองของดีไซเนอร์เพื่อยกระดับอัตลักษณ์เครื่องแต่งกายท้องถิ่นสู่เวทีโลก

  เสน่ห์ของสตูลสะท้อนผ่านความประณีตของการทำประมงพื้นบ้านและการปรุงวัตถุดิบสดจากทะเลอย่างพิถีพิถัน จังหวัดเล็ก ๆ ที่เปรียบเสมือนครัวกระจายอาหารของทุกภูมิภาคนี้ถูกนำมาเล่าใหม่ในมิติสร้างสรรค์ภายใต้โครงการ “สตูล ‘ปลา’ ณีตSatun Folk & Fine” โดยเยาวนันท์เส็นติระและกลุ่มนักสร้างสรรค์ท้องถิ่นกิจกรรมของโครงการครอบคลุมตั้งแต่งานศิลปะเครื่องมือประมงการปรุงเมนูพื้นถิ่นไปจนถึงการท่องเที่ยววิถีประมงเชิงอนุรักษ์แบบOne Day Tripเพื่อพาผู้มาเยือนไปสัมผัสชีวิตชาวประมงที่แท้จริงคุณเยาวนันท์กล่าวว่า “ทุกครั้งที่ร่วมเทศกาลงานออกแบบปักษ์ใต้เราเห็นตรงกันว่าการประมงคือหัวใจของเศรษฐกิจชุมชนโครงการนี้จึงเกิดจากความร่วมมือของคนในพื้นที่ศิลปินภาครัฐและภาคธุรกิจ เพื่อชวนผู้คนมาสัมผัสและต่อยอดสิ่งที่เรามีให้กลายเป็นความภาคภูมิใจร่วมกัน”

ความสำเร็จของเทศกาลงานออกแบบปักษ์ใต้ 2568 ได้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ว่าภาคใต้พร้อมก้าวสู่การเป็นภูมิภาคสร้างสรรค์ที่มีคุณค่าทั้งมิติเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งยังสร้างพลวัตใหม่ให้พื้นที่โดยเชื่อมโยงทุนทางวัฒนธรรมกับผู้คนหลากหลายเจนเนอเรชันและเปิดเส้นทางสู่โอกาสที่กว้างไกลขึ้นทั้งด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการต่อยอดศักยภาพของคนในท้องถิ่น CEA จะยังคงเดินหน้าผลักดันให้เทศกาลนี้เป็นเวทีที่ยกระดับภาคใต้อย่างต่อเนื่องสู่การเป็นจุดหมายแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ทั่วโลกจับตา