EDU Research & Innovation

ห่วงนศ.ไทยใช้AIไม่เหมาะสมทักษะคน ถูกทำลายอยู่ไม่รอดในตลาดแรงงาน



กรุงเทพฯ-รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ห่วงนักศึกษาพึ่งพิง AI มากเกินพอดี เสี่ยงอยู่ไม่รอดในตลาดแรงงาน เหตุทักษะ “คิด-วิเคราะห์-สื่อสาร” และศาสตร์เฉพาะด้านไม่ได้รับการพัฒนา ยืนยัน การใช้ AI อย่างไม่เหมาะสม-ขาดจริยธรรม เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขวางกั้นการเรียนรู้

รศ. ดร.ดำรงค์ อดุลยฤทธิกุล รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงพฤติกรรมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ไม่เหมาะสมของนักศึกษาปัจจุบันจนนำไปสู่ปัญหาการขาดทักษะทางการเรียนรู้ ตอนหนึ่งว่า หนึ่งในปัญหาจากการใช้ AI ทุกวันนี้ คือนักศึกษาพึ่งพิง AI มากเกินความพอดี อาทิ ใช้ทำการบ้านแทนทั้งหมด ใช้ในการทำข้อสอบแทนทั้งหมด หรือใช้เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงโดยไม่มีการตรวจสอบซ้ำ พฤติกรรมเหล่านี้ถือเป็นภาพสะท้อนของการใช้ AI อย่างไม่เข้าใจและขาดจริยธรรม ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะทำให้นักศึกษาขาดทักษะการคิด วิเคราะห์ อันเป็นทักษะสำคัญ เป็นทักษะที่ต้องการของตลาดแรงงาน และเป็นสิ่งชี้วัดในการอยู่รอดในตลาดแรงงาน

รศ. ดร.ดำรงค์ กล่าวต่อว่า การใช้ AI อย่างไม่เหมาะสมจะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขวางกั้นการพัฒนาทักษะและการเรียนรู้โดยตรง และยังส่งผลต่อการอยู่รอดในตลาดแรงงานในอนาคตด้วย เนื่องจากการพึ่งพิง AI มากเกินพอดีระหว่างการเรียนในรายวิชาต่างๆ จะทำให้นักศึกษาขาดทักษะเฉพาะศาสตร์ที่กำลังศึกษาอยู่ รวมถึงขาดทักษะการสื่อสาร ขาดการพลิกแพลงหรือประยุกต์ใช้องค์ความรู้ที่ได้เรียนมา ไม่สามารถอธิบายเนื้อหาตามความเข้าใจได้ นั่นเพราะคำตอบทั้งหมดเกิดจาก AI แต่ไม่ได้เกิดจากตัวของผู้ใช้ AI ที่สุดแล้วแทนที่การมีทักษะ AI จะช่วยให้อยู่รอดในตลาดแรงงาน กลับกลายเป็นจะทำให้เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะไม่ถูกเลือกแทน

“การใช้ AI เป็นสิ่งที่จะปฏิเสธหรือห้ามใช้กันคงไม่ได้ และ AI ในปัจจุบันก็ช่วยลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนและทำงานได้จริง ฉะนั้นประเด็นจึงอยู่ที่ขอบเขตการใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักศึกษาทุกคนต้องรู้ และช่วยให้กระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพไม่ถูกทำลาย” รศ. ดร.ดำรงค์ กล่าว

รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า การให้แนวทางและหลักเกณฑ์ที่สำคัญในการใช้ AI อย่างถูกต้องตามหลักจริยธรรมนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ผู้สอนควรมีการชี้แจงเรื่องนี้ให้มีชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นจัดการเรียนการสอนในแต่ละรายวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการระบุไว้ใน course syllabus อย่างชัดเจนก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักศึกษา รวมถึงการให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่นักศึกษาระหว่างการเรียนการสอนหรือระหว่างการทำงานที่ได้รับมอบหมายก็จะช่วยทำให้นักศึกษาได้ประโยชน์และนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง

สำหรับเส้นกั้นของการใช้ AI อย่างเหมาะสมที่ชัดเจนก็คือ เป้าหมายในการใช้ เช่น ในด้านการเรียนก็ต้องมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาทักษะ ไม่ใช่ทำลายกระบวนการพัฒนาทักษะ รวมถึงการออกแบบ-กำหนดสัดส่วนการทำชิ้นงานด้วยตัวของผู้เรียนเอง ที่จะทำให้นักศึกษาเรียนรู้ถึงความเหมาะสม เช่น กรณีนักศึกษาได้รับโจทย์ให้เขียนบทความภาษาอังกฤษ นักศึกษาจึงร่างบทความเป็นภาษาไทยแล้วให้ AI แปลส่งอาจารย์ ตรงนี้มองได้ว่านักศึกษาไม่ได้แสดงสมรรถนะของตนเองในด้านภาษา ซึ่งเป็นทักษะที่โจทย์ต้องการ จึงทำให้ขาดทั้งความคิดริเริ่มในการผลิต (Originality) และความเป็นเจ้าของผลงาน (Ownership)

“การใช้เป็นกับการใช้อย่างถูกต้องไม่เหมือนกัน ใช้เป็นคือใช้ AI ได้หลายตัวเลย และใช้ทำแทนเกือบทุกอย่างแต่ไม่ได้มีการเรียนรู้ไปด้วย ส่วนใช้อย่างถูกต้องคือรู้ว่าใช้อย่างไรและจะเรียนรู้จากสิ่งที่ใช้อย่างไรได้บ้างเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่เกิดผลกระทบเชิงลบ สิ่งเหล่านี้จะเป็นจริงได้ต้องอาศัยทั้งตัวผู้เรียน ผู้สอน และสถาบันการศึกษาสนับสนุน” รศ. ดร.ดำรงค์ กล่าว

รศ. ดร.ดำรงค์ กล่าวว่า ปัจจุบันธรรมศาสตร์มีการสนับสนุนให้นักศึกษาใช้ AI เป็นตัวช่วยในการค้นคว้าหาข้อมูล หรือเพิ่มประสิทธิภาพของชิ้นงาน โดยในปีการศึกษา 2568 ธรรมศาสตร์ได้มีการจัดเรียนการสอนด้านจริยธรรมการใช้ AI ผ่านรายวิชาการศึกษาทั่วไป TU280 จริยธรรมปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้นำอนาคต เพื่อให้นักศึกษาตระหนัก และใช้ AI อย่างถูกต้อง และในหลักสูตรปีการศึกษา 2570 ได้ปรับให้มีการเรียนการสอน AI ในด้านต่างๆ เป็นวิชาบังคับด้วย สอดคล้องแนวนโยบายของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  

นอกจากนี้ ธรรมศาสตร์ยังมีการซื้อซอฟต์แวร์สำหรับตรวจจับการใช้ AI ในชิ้นงานด้วยอีกส่วน ทั้งการคัดลอก และสัดส่วนในการใช้ ไปจนถึงด้านงานวิชาการก็มีการนำหลักการ Declaration of Generative AI ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมาใช้ด้วย โดยหลักการนี้เป็นการกำหนดให้ต้องระบุให้ชัดเจนถึงการนำ AI มาใช้ในการวิจัย อาทิ ใช้ AI ประเภทไหนช่วยทำวิจัย ใช้ทำอย่างไร