Biz news

นวัตกรรมสังคมแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างNew S-Curve เคลื่อนศก.ฐานราก



ในเวทีสัมมนาวิชาการประจำปี 2568“นวัตกรรมสังคมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก” จัดโดยมูลนิธิสัมมาชีพ วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิต่างมีความเห็นร่วมกันว่า ถึงเวลาที่สังคมไทยจะต้องปรับวิธีคิดและกระบวนการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม มุ่งสู่การเติบโตใหม่ (New S-Curve)โดยเปิดให้ชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม รวมถึงการนำความสำเร็จของชุมชน/ท้องถิ่นมาต่อยอดขับเคลื่อน“นวัตกรรมสังคม” เพื่อขยายผลความสำเร็จ สู่พื้นที่อื่นๆ อันจะเป็นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศได้อย่างแท้จริง

แผนพัฒนาประเทศฉบับ14 ดึงประชาชนมีส่วนร่วม

เอ็นนู ซื่อสุวรรณรองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ และกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า การกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ผ่านมา 13 ฉบับ ยังขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ขณะที่ผลลัพธ์การดำเนินงานยังไม่บรรลุเป้าหมายเท่าที่ควร ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 (ระหว่างปี 2571-2575)จะเป็นแผนแรกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยการสำรวจความเห็นจากสาธารณผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์

**แผนฯ14 มุ่งสู่ “เศรษฐกิจขยายตัวสูงขึ้นอย่างทั่วถึงและยั่งยืน”

ทั้งนี้ ทิศทางการพัฒนาประเทศของแผนฯ14มุ่งสู่ Resilient Riseเศรษฐกิจขยายตัวสูงและมีศักยภาพในการปรับและฟื้นตัวจากวิกฤติได้อย่างยั่งยืนด้วยการเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขันภายใต้ 5 เสาหลัก ได้แก่ การพลิกโฉมเศรษฐกิจ, การปฏิรูปภาครัฐ, การพัฒนาทุนมนุษย์, การสร้างความยั่งยืนด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และการถ่ายโอนเทคโนโลยีและนวัตกรรม

ไทยติดกับดักแนวคิดกระจายความมั่งคั่งส่วนกลางสู่พื้นที่รอบนอก

อภิชาติ โตดิลกเวชช์รองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ และอดีตอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ปาฐกถาในหัวข้อ“ประสบการณ์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของรัฐและเอกชน”ระบุถึงข้อมูลประชากรที่อยู่ในเศรษฐกิจฐานรากว่า ประกอบด้วย เกษตรกรจำนวน 8.6 ล้านคน เกษตรแปลงใหญ่ 6.18 แสนคน วิสาหกิจชุมชน 1.2 ล้านคน จำนวน6.6 หมื่นกลุ่ม (จาก 7 หมื่นหมู่บ้าน) โอท็อป 9.7 หมื่นกลุ่ม มีผลิตภัณฑ์ 2.1  แสนรายการมียอดขายราว3 แสนล้านบาท และเอสเอ็มอีจำนวน 3.1 ล้านราย

ส่วนการพัฒนาศักยภาพภาพของเศรษฐกิจฐานรากที่ผ่านมาพบว่ายังติดกับดักจากแนวคิดที่ว่า เศรษฐกิจจะค่อยๆปรับตัวและกระจายความมั่งคั่งจากส่วนกลางไปยังพื้นที่รอบนอกด้วยตัวเองแต่ผลลัพธ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

โดยข้อมูลจากสศช.ปี 2566 พบว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจยังกระจุกตัว อยู่ในเมืองหลัก 10 จังหวัดที่สร้างรายได้ให้ประเทศ 10.85 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น64.29% ของจีดีพีรวมของประเทศ (18 ล้านล้านบาท) ขณะที่เมืองรองซึ่งมีมากถึง 57 จังหวัด มีสัดส่วนขับเคลื่อนจีดีพีเพียง 34.15 % และเมืองจิ๋ว 10 จังหวัด มีส่วนขับเคลื่อนจีดีพีเพียง 1.56% เท่านั้น

ดังนั้น รายได้ของประเทศหรือการจัดเก็บภาษีจึงไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการบริหารประเทศ โดยไทยเก็บภาษีได้ 2.6  ล้านล้านบาท ขณะที่ต้องใช้งบประมาณบริหารประเทศราว 3.85  ล้านล้านบาท ถ้าไม่มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ เศรษฐกิจฐานรากก็ไปไม่ได้

แนะสร้างการเติบโตใหม่ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

รองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพเสนอ “หลักการ” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากว่า จำเป็นต้องสร้างการเติบโตใหม่ (New S- Curve) โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวนำ เพื่อสร้างกำไรต่อหน่วย (Margin) ในภาคการผลิตต้นน้ำของชาวบ้านที่ปัจจุบันมี Margin เพียง 5-7% ขึ้นเป็น 15-30% จึงจะทำให้ชุมชน/ท้องถิ่น มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมได้มากขึ้น

“สินค้าโอท็อป 2 แสนกว่าผลิตภัณฑ์ ชาวบ้านได้กำไรเท่าไหร่ คำตอบคือ 5-7% ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับซัพพลายเชนกลางน้ำ (ผู้รวบรวมสินค้าแปรรูป และจำหน่าย) ที่ได้กำไรมากถึง 95%

ดังนั้นต้องสอนให้โอท็อปพัฒนาจากต้นน้ำเป็นกลางน้ำให้ครบวงจรต้องสอนชาวบ้านให้เป็นนักแปรรูป ให้เขาได้กำไร30%”

เขากล่าวต่อว่า ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ผ่านมา ภาครัฐทำอยู่ 4 เรื่อง คือ ภูมิปัญญา การวิจัย นวัตกรรม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ยังมีอีก 2 เรื่องที่ภาครัฐไม่ได้ทำต่อ คือ Scale up และ New S-Curveทั้งที่หากชุมชนสามารถพัฒนา New S-Curve ได้จะทำให้มีรายได้แบบก้าวกระโดด  มีกำไรเพิ่ม 15% ได้

ตัวอย่างเช่น ชุมชนสะเอียบ ซึ่งมีภูมิปัญญาการต้มเหล้ามากว่า 200 ปี ชุมชนสะเอียบได้พัฒนาใน 2 ประเด็นหลัง คือ การ Scale up  และสร้าง New S-Curveจึงสามารถสร้างรายได้แบบก้าวกระโดด

“อันนี้โต 2,000 % เลย รายได้ปี ’68 ประมาณ  3,600  ล้านบาท แค่ตำบลเดียวประชากร 5 พันคนทำจีดีพีให้จังหวัด 3,600 ล้านบาท ขณะที่ภาคเกษตรทั้งจังหวัดทำรายได้พันล้าน แต่อันนี้สามพันกว่าล้าน

ที่แก่งคอย ชะอม ก็ทำได้ในลักษณะนี้ ปลูกไม้ล้อมขายขณะที่รายได้ต่อหัวของคนไทย 3.8  หมื่นบาทต่อคนต่อปี แต่ที่นี่วันเดียวเขาทำได้แล้ว และยังส่งออกไปสิงคโปร์ ฮ่องกง”

ชง 4 ข้อเสนอพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้สำเร็จ ในมุมมองของรองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพได้เสนอไว้ 4 แนวทาง ได้แก่

1. การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ควรเน้นไปที่ความสามารถ ความร่วมมือขององค์กรในระดับเมือง/ท้องถิ่นและพัฒนาจากความสำเร็จของผู้ประกอบการ หรือธุรกิจที่ขยายผลได้และมีรายได้ก้าวกระโดด เพื่อขยายผลสำเร็จออกไปให้มากขึ้น และควรลดการผูกโยงกับการวางแผนและจัดการจากส่วนกลาง ที่แม้จะกระจายโครงการได้มาก แต่บรรลุเป้าหมายได้ยาก หรือการพัฒนาโดยอิงกับศักยภาพผู้นำในพื้นที่ ก็ประสบความสำเร็จแค่ 50%

2.บูรณาการเชิงพื้นที่เพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์  ควรใช้หลักการ “ทำมาหากิน” ผ่านภูมิปัญญา การวิจัยและนวัตกรรม การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และ “การทำมาค้าขาย” ผ่านการพัฒนาผู้ประกอบการมืออาชีพ และการสร้างรายได้ใหม่แบบก้าวกระโดด ดังเช่น กรณีของสะเอียบ หรือชะอมที่ทำเรื่องไม้ล้อม

3. การสร้างเมืองรองให้แข็งแรงโตขึ้น ผ่านกระบวนการสานเสวนาอย่างเข้มข้น โดยมีองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชนต่างๆ เป็นกลไกการขับเคลื่อนหลักร่วมกัน เพื่อร่วมกันประเมินศักยภาพพื้นที่และความต้องการของคนในพื้นที่ และลงมือปฏิบัติจริง

4.สร้างระบบเศรษฐกิจฐานรากให้ยั่งยืนผ่านการสร้างเครือข่ายชุมชน การรวมพลังในกลุ่มอาชีพ และการพอเพียงเลี้ยงตัวแองได้ เช่น การขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลากหลาย ทำให้เกิดโอกาสใหม่ ในการสร้างรายได้ก้าวกระโดด, การสร้างงาน ทักษะความชำนาญเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ มีการพัฒนาการผลิต บริการ และมีกำลังซื้อจากตลาด เป็นต้น

นวัตกรรมสัมมาชีพ” รากแก้วเศรษฐกิจใหม่ หนุนฐานราก-ท้องถิ่นโตอย่างยั่งยืน

ดร.มงคล ลีลาธรรม ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิสัมมาชีพ ได้กล่าวว่า “นวัตกรรมสัมมาชีพ” คือรากแก้วของ New S-Curve ไทย เพราะเป็นการนำวัฒนธรรมแห่งความรู้ผสานกับความสุจริตเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่แข็งแรงและยั่งยืน ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับงานโนเบลเศรษฐศาสตร์ 2025 ที่ระบุว่า แหล่งพลังของนวัตกรรมไม่ใช่เงินทุน แต่คือ “ความรู้และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี” ดังนั้น เมื่อผสานเข้ากับแนวคิดสัมมาชีพ จะก่อเกิด “ปัญญา + ความสุจริต” นำไปสู่เศรษฐกิจใหม่ที่แท้จริงโดย 3 เสาหลักของนวัตกรรมสัมมาชีพ ประกอบด้วย

  1. ความใหม่บนความสุจริต (Newness & Ethics)หมายถึง การสร้างผลิตภัณฑ์ บริการ หรือกระบวนการใหม่ขณะที่หัวใจของ "สัมมาชีพ" คือการเติมคำว่า "ความสุจริตหรือคุณธรรม" เข้าไป ดังนั้น การสร้างสรรค์สิ่งใหม่จึงหมายรวมถึง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ “ดีกว่า” และ “ไม่เบียดเบียน”
  2. พลังปัญญาและองค์ความรู้ (Knowledge Power) การส่งเสริมให้คนท้องถิ่นในการค้นคว้าเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุนทางสังคมและทุนธรรมชาติในพื้นที่
  3. การสร้างคุณค่าและประโยชน์จริง (Value Creation) คือการสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคม เช่น การลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือ การแก้ปัญหาทางสังคมในท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง

“การเติบโตแบบสัมมาชีพไม่ใช่โตเร็วเหมือน “ยอดไม้” แต่คือการสร้าง “รากแก้วลึกและมั่นคง” ผ่าน 3 กระบวนการสำคัญ—การเชื่อมความรู้ การแปรรูปอย่างมีมาตรฐาน และการสร้างเครือข่ายที่เป็นธรรม เพื่อให้รายได้กลับสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง” ดร.มงคล กล่าว

ทั้งนี้ การจะสร้างความสำเร็จของนวัตกรรมสัมมาชีพ ประกอบด้วย  1. การเชื่อมความรู้ เช่น การนำวัตถุดิบ GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) หรือสมุนไพรท้องถิ่น เข้าสู่กระบวนการวิจัยเพื่อพิสูจน์ "สารสำคัญ" ด้วยวิทยาศาสตร์ 2. กระบวนการแปรรูปที่ได้มาตรฐาน  เช่น การพัฒนาวัตถุดิบไปสู่สารสกัดเข้มข้นมาตรฐานยา ต้องใช้วิธีสกัดที่ ปลอดภัย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าอย่างมีคุณธรรมตามหลักสัมมาชีพ 3. สร้างเครือข่าย: การสร้างความร่วมมือที่ยุติธรรม เพื่อให้ผลประโยชน์และรายได้กลับคืนสู่เศรษฐกิจฐานรากอย่างทั่วถึง

แสวงหาแนวทางใหม่ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ

ดร.สุนทร คุณชัยมังผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนานวัตกรรมสังคม วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคมมหาวิทยาลัยรังสิตปาฐกถาในหัวข้อ“แนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและโอกาสของการสร้างหัวขบวนเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น”โดยระบุถึงสองกรอบแนวทางการจัดการความเหลื่อมล้ำซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกันระหว่างทฤษฎีของ Simon Kuznets ที่ระบุว่า ความยากจนและเหลื่อมล้ำจะถูกแก้ไขไปตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นั่นคือ ถ้าพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตไปเรื่อยๆ แล้วความเติบโตจะกระจายไปจากเมืองใหญ่ไปสู่เมืองเล็ก เมืองจิ๋ว ชนบทได้ 

ขณะที่ทฤษฎีของ Thomas Piketty ระบุว่า ตราบใดที่เศรษฐกิจเติบโต และมีคนรวยได้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ย แสดงว่าเกิดโอกาสที่ไม่เท่ากัน ทำให้ความเหลื่อมล้ำไม่ถูกแก้ไข

ในทฤษฎีหลังนี้เสนอว่า การจะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ต้องเกิดจากการแสวงหาแนวทางใหม่ นโยบายใหม่จึงนำมาสู่การศึกษากรณีความสำเร็จของผู้ประกอบการชุมชนไทย และต่างประเทศเพื่อเป็นแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจแก้ปัญหาความยากจนของฐานรากในขณะนี้

กรณีศึกษา ขับเคลื่อนนวัตกรรมสังคม แก้เหลื่อมล้ำ

ดร.สุนทร นำเสนอกลุ่มตัวอย่างจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมทางสังคม(Social Innovation Movement) อาทิเช่นกรามีนแบงก์ (Grameen Bank) ในบังคลาเทศ ที่สามารถรวมกลุ่มชาวบ้านจัดตั้งธนาคารไมโครเครดิต (ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน) นับเป็นการขับเคลื่อนทุนทางสังคม โดยนำความสัมพันธ์ของชาวบ้านมาดูแลซึ่งกันและกัน  และแก้ปัญหาความยากจนของประเทศได้ถึง 40%, Hello Tractor ของไนจีเรีย ที่ให้บริการเช่ารถแทรกเตอร์ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มแทนการซื้อรถ ช่วยลดภาระทางการเงินคนในชุมชน/ท้องถิ่นเป็นต้น

ขยายผลความสำเร็จ กลุ่ม/วิสาหกิจฯ สู่การแก้ปัญหาประเทศ

สำหรับกลุ่มหรือวิสาหกิจชุมชนในไทย ที่ประสบความสำเร็จในกระบวนการจัดการทุน และการตลาดและรอเพียงการ “เติมเต็ม”เพื่อขยายผลความสำเร็จให้กว้างออกไปจากในระดับชุมชนสู่ระดับประเทศ เช่น กลุ่มที่จัดการทุนชุมชนให้เกิดประโยชน์ อย่างกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จันทบุรี ที่ริเริ่มการออมทรัพย์จากวัดกระทั่งเป็นแหล่งทุนให้บริการทั่วจังหวัด, กลุ่มออมทรัพย์ฯบ้านดอนคา กับผลงานการเป็นแหล่งทุนของ 3 อำเภอ มีสินเชื่อระดับร้อยล้าน

กลุ่มที่ผลิตได้ ขายเป็น มีความมั่นคงการตลาด เช่น วิสาหกิจชุมชนน้ำเกี๋ยน ที่มีผลงานการผลิตเวชสำอางจากการแปรรูปสมุนไพรที่ได้มาตรฐาน, วิสาหกิจชุมชนอุ่มแสง ผลิตข้าวอินทรีย์เพื่อการส่งออก และวิสาหกิจชุมชนฐานเกษตรยาง ที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากยาง, วิสาหกิจฯ คลองตันขยายจากผักผลไม้ปลอดภัยสู่น้ำช่อดอกมะพร้าวสุราพื้นบ้านสะเอียบขยายสู่ระบบตลาด ตลาดหัวปลีส่งเสริมการเป็นตลาดของชุมชน ปตท.สานพลังกับผลงานร่วมแก้ปัญหาให้คนด้อยโอกาส ดีมีสุข ที่ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ชุมชนรวมทั้งการตลาดโลเคิลอไลค์ ที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ชุมชนเป็นต้น

“ความสำเร็จของชุมชนเป็นความสำเร็จเบื้องต้นจากกระบวนการรวมตัวของชุมชน การสร้างมาตรฐาน แต่การจะขยายไปข้างหน้าให้กว้างขวางกว่านี้ ไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับประเทศ จำเป็นต้องทบทวนเพื่อขยายบทบาทไปให้มากกว่านี้ด้วยมองมุมใหม่

New S - Curve ของชุมชนขณะนี้เกิดขึ้นแล้ว เช่น อุ่มแสง น้ำเกี๋ยน หัวปลี เพราะเป็นรายได้ใหม่ นวัตกรรมสังคมได้เกิดขึ้นแล้วที่ชุมชน อยู่ที่เราจะดำเนินการต่อยังไง”

การขับเคลื่อนนวัตกรรมทางสังคมในมุมมองของ ดร.สุนทรทำได้ 2 รูปแบบ คือ 1.การขยายผลด้วยการขยายขนาดและประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล โดยความสามารถของนักการตลาด การส่งเสริมเทคโนโลยี  เช่น การร่วมพัฒนาน้ำเกี๋ยนที่ต้องการส่งออก หรืออุ่มแสงที่ต้องการเครือข่ายผู้ผลิตข้าวอินทรีย์เพิ่ม

และ 2.การขยายผลด้วยการเลียนแบบ-ต้นแบบความสำเร็จ นั่นคือ ขยายจากอุ่มแสงหนึ่งไปอุ่มแสงสอง  หรือน้ำเกี๋ยนหนึ่งไปน้ำเกี๋ยนสอง

แต่วิธีการขยายแบบนี้ ดร.สุนทรระบุว่า ความสามารถของชุมชนที่เกิดขึ้นจะอยู่ในระดับเดิม หรือมีความสามารถเท่าเดิม ดังนั้น หากนำทั้งสองรูปแบบมาผนวกกัน มีทั้งกระบวนการความคิดใหม่ มีระบบการจัดการใหม่มีการผลิตใหม่ และมีนวัตกรรมทางสังคม ความสำเร็จจะเกิดขึ้นมากกว่า

เสนอขยายผล

เอาความสำเร็จไปต่อเติม เคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

แนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากฐานรากและการพัฒนาท้องถิ่นจากนวัตกรรมสังคมที่ดร.สุนทร เสนอ คือ ควรเริ่มต้นและขยายไปจาก “หน่วยความสำเร็จ” ขององค์กรชุมชน, ขยายธุรกิจ-ห่วงโซ่คุณค่า พัฒนาทั้งองค์กรเก่า-ใหม่, ประสานความร่วมมือความรู้ เทคโนโลยี และการตลาด, สร้างเครือข่าย ขบวน ระบบแวดล้อมที่เป็นจริงและต่างไปจากเครื่องมือบริหารงานแบบเก่าและสร้างให้เป็น “กลไกการขับเคลื่อน” ของจังหวัดยากจน เมืองรอง และหัวเมืองต่างจังหวัด

“ถ้าเราเอาความสำเร็จของต้นแบบเป็นตัวตั้งขยายจากหนึ่งเป็นสาม จากสามเป็นสิบ น่าจะสร้างรายได้ให้จังหวัด สร้างความเปลี่ยนแปลงภายใต้ความสำเร็จจากหน่วยข้างล่าง

โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาของชุมชน ท้องถิ่นมีความเป็นไปได้

ทั้งหมดนี้คือสาระสำคัญของงานสัมมาชีพวิชาการประจำปี 2568 ของมูลนิธิสัมมาชีพ เพื่อร่วมกันคิด เสนอแนะแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืน