In Global

บทวิเคราะห์ คำพูดที่ดึงดันนายกฯญี่ปุ่น ทำความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นตึงเครียดหนัก



เมื่อไม่นานมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นเสื่อมถอยลงอย่างแรง จนกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากประชาคมระหว่างประเทศอย่างมาก

สาเหตุโดยตรงของความตึงเครียด เกิดจากคำกล่าวของนางซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ ในการตอบคำถามต่อสภาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน โดยเธอกล่าวว่า “หากไต้หวันเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน” อาจก่อให้เกิด “วิกฤตต่อความอยู่รอด” สำหรับญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้ “สิทธิป้องกันตนเองร่วม” (right of collective self-defense) แม้จีนจะประท้วงอย่างหนัก แต่จนถึงปัจจุบันเธอยังคงปฏิเสธที่จะถอนคำพูดดังกล่าว

เป็นที่ทราบกันดีว่า โลกนี้มีเพียง “จีนเดียว” ไต้หวันเป็นดินแดนของจีนที่มิอาจแบ่งแยกได้ เอกสารทางกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น “ปฏิญญาไคโร” “แถลงการณ์พอทสดัม” และ “หนังสือยอมจำนนของญี่ปุ่น” ต่างก็ได้ยืนยันอำนาจอธิปไตยของจีนเหนือไต้หวันมาโดยตลอด ขณะที่ “แถลงการณ์ร่วมจีน-ญี่ปุ่น”ในปี 1972 ได้ระบุชัดเจนว่า “รัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับว่ารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวของจีน” นับแต่นั้นมาในสนธิสัญญาและแถลงการณ์ต่างๆ ระหว่างสองประเทศ ญี่ปุ่นก็ย้ำหลักการดังกล่าวอย่างชัดแจ้ง

คำกล่าวของนางซานาเอะ ทาคาอิจิ ละทิ้งคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลญี่ปุ่นเคยมีมาโดยตลอด เป็นการบ่อนทำลายหลักการจีนเดียว และเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีนอย่างโจ่งแจ้ง

กฎบัตรสหประชาชาติกำหนดว่าประเทศสมาชิกต้องไม่ใช้การข่มขู่คุกคาม หรือ ใช้กำลังในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และต้องไม่ละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนหรือเอกราชทางการเมืองของประเทศอื่น คำกล่าวที่ดึงดันดื้อรั้นของนางซานาเอะ ทาคาอิจิ ถือเป็นการละเมิดวัตถุประสงค์ หลักการและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องของกฎบัตรสหประชาชาติอย่างชัดแจ้ง

คำกล่าวของนางซานาเอะ ทาคาอิจิ ทำให้ประชาคมโลกพากันให้ความสนใจต่อข้อเท็จจริงต่อไปนี้ : นับตั้งแต่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง กลุ่มขวาจัดในญี่ปุ่นไม่เคยหยุดความพยายามในการเขียนประวัติศาสตร์การรุกรานของตนขึ้นมาใหม่; ญี่ปุ่นได้ปรับนโยบายความมั่นคงอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง โดยงบประมาณด้านกลาโหมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 13 ปี; ญี่ปุ่นได้แก้ไข “หลักการสามประการว่าด้วยการส่งออกอาวุธ” ที่เคยยืนหยัดมาเป็นเวลายาวนานหลังสงครามโลกครั้งสอง โดยเริ่มส่งออกอาวุธทำลายล้างสูงและญี่ปุ่นยังพยายามวางแผนที่จะปรับแก้ “หลักการสามประการว่าด้วยการปลอดอาวุธนิวเคลียร์” เพื่อปูทางให้ญี่ปุ่นสามารถนำเข้าอาวุธนิวเคลียร์ได้ง่ายขึ้น เหล่านี้ชี้ชัดว่าญี่ปุ่นได้ก้าวข้ามจุดยืน “การป้องกันเพียงอย่างเดียว” และกำลังเดินหน้าสู่การติดอาวุธอีกครั้ง

ในประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นเคยใช้ข้ออ้าง “สถานการณ์คับขันต่อการอยู่รอดของชาติ” เพื่อเร่งสะสมอาวุธ และใช้สิ่งที่เรียกว่า “การป้องกันตนเอง” เป็นเหตุผลในการรุกรานต่างประเทศ จนถึงปัจจุบัน ญี่ปุ่นยังไม่เคยสำนึกผิดอย่างจริงจังต่ออาชญากรรมที่ลัทธิทหารญี่ปุ่นทำไว้ในช่วงสงครามรุกรานจีน เกาหลี และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถมยังมีความพยายามบิดเบือนบ่อยครั้ง ปฏิเสธ และสร้างภาพด้านบวกให้กับสงครามรุกราน ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่า ทัศนคติที่ไม่ถูกต้องของญี่ปุ่นต่อการศึกษาประวัติศาสตร์เป็นรากเหง้าที่สำคัญหรือเป็นสาเหตุหลักของปัญหานี้

ไม่เพียงจีนเท่านั้น แม้แต่ประชาคมระหว่างประเทศ และชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่รักความยุติธรรม รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ก็ออกมาวิจารณ์คำกล่าวของนางซานาเอะ ทาคาอิจิอย่างตรงไปตรงมา เพราะหลักการจีนเดียวเป็นความรับรู้ร่วมกันของประชาคมโลกและเป็นบรรทัดฐานพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาเนิ่นนาน ซึ่งประจักษ์ชัดได้จากการที่ 183 ประเทศทั่วโลกได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน คำกล่าวที่ดึงดันของนางซานาเอะ ทาคาอิจิได้ทำลายความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างจีน-ญี่ปุ่น ทำลายพื้นฐานทางการเมืองของความสัมพันธ์สองประเทศ ไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นเสื่อมถอยอย่างรวดเร็วเท่านั้น หากยังสั่นคลอนเสถียรภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย จึงควรถูกประณามอย่างรุนแรง ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา รัฐบาลและบุคคลสำคัญของหลายประเทศต่างได้ออกมาย้ำว่าพวกเขายึดมั่นหลักการจีนเดียวอย่างแน่วแน่ เรื่องไต้หวันเป็นกิจการภายในของจีน และคัดค้านการแทรกแซงกิจการภายในของจีนทุกรูปแบบ

ในขณะเดียวกัน บุคคลสำคัญของหลายประเทศยังได้เรียกร้องให้ประชาคมโลก โดยเฉพาะประเทศที่เคยร่วมกันต่อต้านลัทธิทหารญี่ปุ่นในอดีต ต้องเฝ้าระวัง ต่อต้านอย่างชัดเจนต่อการเคลื่อนไหวใดๆ ของญี่ปุ่นที่ปฏิเสธประวัติศาสตร์และท้าทายสันติภาพ เพื่อปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคที่ได้มาด้วยความยากลำบาก

เขียนโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CMG)