EDU Research & Innovation
นักศึกษามจธ.พลิกวิกฤตสังคมสูงวัยด้วย IoT ยืดเวลาทำงานเกษตรกรสูงวัย
กรุงเทพฯ-แม้รายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยปี 2568 จะชี้ให้เห็นว่าการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดสร้างมูลค่ามากกว่า 25,500 ล้านบาทต่อปี แต่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้คือปัญหาใหญ่ที่กำลังทำให้อุตสาหกรรมสั่นคลอน นั่นคือเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยที่ต้องทำงานหนักเกินกำลัง ตั้งแต่ตื่นกลางดึกไปเปิดเครื่องตีน้ำ ตรวจคุณภาพน้ำในบ่อซ้ำ ๆ ไปจนถึงการให้อาหารลูกปลาทุกสามชั่วโมงโดยไม่มีวันหยุด แต่การทำงานหนักเช่นนี้ไม่ได้การันตีถึงผลผลิตที่แน่นอน เกษตรกรหลายรายต้องพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่า "โชค" เพื่อให้ปลาในบ่อรอดชีวิต ความเหนื่อยล้าและความเสี่ยงต่อสุขภาพทำให้คนรุ่นเก่าหลายคนเริ่มถอยออกจากอาชีพที่ทำมาทั้งชีวิต ขณะที่คนรุ่นใหม่ก็ไม่อยากก้าวเข้ามารับช่วงต่อ ทั้งที่งานนี้เป็นอาชีพสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจชุมชนตลอดมา

ท่ามกลางความท้าทายนี้ นักศึกษาสาวทีม “Teletubbies” จากสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ประกอบด้วย ชัญญาภัค ทรัพย์สวัสดิ์กุล (หัวหน้าทีม) ,อนัญญา อุจจธรรมรัตน์ ,นันท์นภัส นันทพรนิรชา และณัชณศา เลิศมหากูล ได้ลุกขึ้นมาสร้างความเปลี่ยนแปลง ด้วยการพัฒนาผลงาน “นวัตกรรมที่ประยุกต์การใช้ระบบ IoT ในการช่วยให้ผู้สูงอายุเลี้ยงปลา” นวัตกรรมที่เกิดจากโจทย์ปัญหาในชีวิตจริง ผสานกับความรู้เชิงวิชาการด้านประมง และงานด้านเทคโนโลยีที่ตัวเองถนัด รวมเป็นโซลูชันเทคโนโลยีที่พร้อมจะเข้ามาพลิกฟื้นอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ได้ไปต่อ จนคว้า รางวัลชนะเลิศ ถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และรางวัล Popular Vote จากเวที JUMP Thailand Hackathon 2025 มาครองได้สำเร็จ
นวัตกรรมที่ทีม Teletubbies พัฒนาขึ้นคือระบบ IoT อัจฉริยะที่ทำหน้าที่เหมือน “ผู้ช่วยคนสำคัญ” ของเกษตรกรสูงวัย โดยใช้เทคโนโลยีจาก AIS เป็นหัวใจหลัก ตั้งแต่ AIS 4G IoT Board ที่เชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์วัดคุณภาพน้ำ (อุณหภูมิ ค่า pH ออกซิเจน) ไปจนถึงระบบให้อาหารและเครื่องตีน้ำอัตโนมัติ ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งขึ้นแพลตฟอร์ม AI Farm เพื่อให้เกษตรกรเห็นสถานะบ่อแบบเรียลไทม์และจัดการได้แม่นยำขึ้น “สิ่งแรกที่เราทำคือสร้างระบบอัตโนมัติที่ทำงานแทนแรงคน หัวใจของนวัตกรรมคือการตั้งเวลาการให้อาหารและเครื่องตีน้ำได้ล่วงหน้า ทำให้ผู้เลี้ยงไม่ต้องตื่นกลางดึกอีกต่อไป ได้พักผ่อนเต็มที่ สุขภาพก็ดีขึ้น นอกจากนี้ยังใช้ AI มาช่วยลดต้นทุน โดยคำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา เพื่อลดปัญหาอาหารเหลือทิ้งซึ่งเป็นต้นทุนกว่า 60% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด และยังควบคุมการเปิด–ปิดเครื่องตีน้ำตามระดับออกซิเจนจริงในบ่อ ช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึงเดือนละ 3,000–4,000 บาท ทำให้การเพาะเลี้ยงมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากขึ้นอย่างชัดเจน” ชัญญาภัค เล่าถึงนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้น
หลังจากทดลองใช้นวัตกรรมในพื้นที่เพาะเลี้ยงจริง ทีมพบความท้าทายสำคัญอีกอย่างคือการใช้งานของผู้สูงอายุที่ไม่ถนัดกับแดชบอร์ดบนหน้าจอซึ่งมีความซับซ้อนมากเกินไป จึงไม่สะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทีมจึงพัฒนา “ระบบสั่งการด้วยเสียง” ขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานง่ายที่สุด “เราเห็นว่าผู้สูงอายุบางท่านอาจไม่ถนัดการใช้แดชบอร์ดบนหน้าจอ เราเลยเพิ่มระบบสั่งการด้วยเสียงเข้าไป แค่พูดว่า ‘สั่งเปิดเครื่องตีน้ำหน่อย’ ระบบก็จะทำงานให้ทันที ไม่ต้องเดินไปที่บ่อให้เหนื่อย สิ่งนี้จึงช่วยลดภาระทางกายของเกษตรกร และทำให้นวัตกรรมตอบโจทย์วิถีชีวิตจริงมากขึ้น” อนัญญา เล่าถึงอีกระบบที่เพิ่มเข้าไปเพื่อให้เกษตรกรใช้ชีวิตง่ายขึ้น
ความน่าสนใจของโครงการนี้ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่โมเดลธุรกิจที่ทีม Teletubbies ออกแบบมาให้ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้สำหรับเกษตรกรทุกระดับ ตั้งแต่ฟาร์มเล็กเพียง 1–2 ไร่ ไปจนถึงฟาร์มขนาดใหญ่กว่า 80 ไร่ ทีมเลือกเริ่มต้นด้วยการร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนด้านการประมง เปิดโอกาสให้เกษตรกรในเครือข่าย “ยืมไปทดลองใช้” ได้ก่อนหนึ่งรอบการเลี้ยง เพื่อให้เห็นผลจริงและสร้างความคุ้นเคยโดยไม่ต้องเสี่ยงลงทุนทันที เมื่อเกษตรกรเห็นประโยชน์ที่จับต้องได้แล้ว ทีมจึงนำเสนอรูปแบบการใช้งานที่เลือกได้ทั้งการเช่ารายเดือนหรือซื้อขาด ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าทีมเข้าใจบริบท ความเสี่ยง และกำลังลงทุนของผู้เลี้ยงปลาอย่างแท้จริง
ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากความทุ่มเทและการทำงานเป็นทีม "จุดแข็งของทีมนี้คือทีมเวิร์คและความตั้งใจจริง นักศึกษาสามารถนำความรู้ทั้งด้านเทคโนโลยีและธุรกิจมาผสมผสานกัน และลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจปัญหาจริง ทำให้ผลงานที่ออกมาตอบโจทย์และสร้างความประทับใจให้กรรมการได้ในที่สุด" ดร.บุญฑริกา เกษมสันติธรรม อาจารย์ที่ปรึกษาเล่าให้ฟังถึงจุดแข็งของทีม
นันท์นภัส เล่าว่า เป้าหมายต่อไปของทีมคือการยกระดับนวัตกรรมจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดไปสู่ระบบที่ซับซ้อนกว่า อย่างการเพาะเลี้ยงกุ้ง ซึ่งต้องควบคุมทั้งคุณภาพน้ำ ค่าออกซิเจน การให้อาหารตามรอบเวลา และการป้องกันโรคอย่างละเอียด โดยเชื่อว่าหากพัฒนาความแม่นยำและความทนทานของระบบได้มากขึ้น ก็จะสามารถต่อยอดสู่สมาร์ทฟาร์มประเภทอื่น ๆ ได้ ทำให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงเทคโนโลยีอัตโนมัติที่ช่วยลดภาระงาน เพิ่มผลผลิต และยกระดับคุณภาพชีวิตได้ในระยะยาว ซึ่งจำเป็นต้องมีนักลงทุนเข้ามาสนับสนุนเพื่อผลักดันให้ต้นแบบนวัตกรรมนี้พร้อมขยายสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ได้จริง
ณัชณศา ปิดท้ายว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้นวัตกรรมนี้ประสบความสำเร็จคือการเริ่มต้นจาก “ปัญหาจริงของผู้ใช้จริง” ไม่ใช่ทำเทคโนโลยีขึ้นมาก่อนแล้วค่อยหาว่าใครจะมาใช้งาน เธอย้ำว่าเมื่อโจทย์ชัด นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นย่อมตอบโจทย์ได้ตรงจุดและมีโอกาสถูกนำไปใช้จริงมากกว่า ซึ่งเป็นแนวคิดที่ช่วยให้นักพัฒนาหลายคนหลุดพ้นจากกับดักการสร้างนวัตกรรมจากสิ่งที่ตัวเองคิดแต่ไม่ถูกนำไปใช้งานในชีวิตจริง
โครงการนี้จึงกลายเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า พลัง ความมุ่งมั่น และความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่สามารถต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง และยังเป็นแรงขับสำคัญที่ช่วยผลักดันสังคมเกษตรกรรมของไทยให้ก้าวหน้าไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
