Think In Truth
วิกฤตซ้อนวิกฤต ฤาจุดเปลี่ยนรัฐชาติไทย บนทางแยกเศรษฐศาสตร์การเมือง โดย: ฟอนต์ สีดำ
บทนำ: วิกฤตซ้อนทับกับความคาดหวังต่อการ “รีเซ็ตประเทศ”
ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจและการเมืองไทยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ภาวะเปราะบางอย่างยิ่ง การตัดสินใจ “ยุบสภา” มิได้เป็นเพียงกระบวนการตามกลไกรัฐธรรมนูญเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน หากแต่ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการถกเถียงเชิงโครงสร้างในสังคมไทย ว่าสภาวะดังกล่าวคือ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ที่จะซ้ำเติมเศรษฐกิจที่อ่อนแรงอยู่แล้ว หรือกลับเป็น “โอกาสเชิงประวัติศาสตร์” ในการวางรากฐานใหม่ให้รัฐชาติไทยสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมและมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมิได้เผชิญความท้าทายเพียงมิติใดมิติหนึ่ง หากแต่เป็นพหุวิกฤตที่ทับซ้อนกันในหลายระดับ ตั้งแต่ปัญหาภายในประเทศ อาทิ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความเปราะบางด้านความมั่นคงชายแดน อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ไปจนถึงแรงกดดันจากภายนอกประเทศ ทั้งสงครามการค้า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งล้วนส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจด้านการลงทุนและความเชื่อมั่นของตลาด
ภายใต้บริบทดังกล่าว คำถามสำคัญจึงมิใช่เพียงว่า “การยุบสภาจะกระทบเศรษฐกิจหรือไม่” หากแต่คือ “ประเทศไทยจะใช้ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้อย่างไร” เพื่อแปรเปลี่ยนความไม่แน่นอนให้กลายเป็นแรงผลักดันสู่การปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่แท้จริง
1. รัฐบาลรักษาการ: ความเสี่ยงเชิงเสถียรภาพกับโอกาสในการเริ่มต้นใหม่
การยุบสภานำประเทศเข้าสู่ช่วงสุญญากาศทางการเมืองบางส่วน อำนาจการบริหารถูกจำกัดภายใต้กรอบของ “รัฐบาลรักษาการ” ซึ่งไม่สามารถริเริ่มโครงการใหม่หรือใช้งบประมาณผูกพันในระยะยาวได้อย่างเต็มที่ สภาวะดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อกลไกเศรษฐกิจโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจจำเป็นต้องพึ่งพาแรงกระตุ้นจากภาครัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
งานวิจัยจำนวนมากชี้ตรงกันว่า “ความไม่แน่นอนทางการเมือง” เป็นตัวแปรสำคัญที่ลดทอนการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและสินค้าคงทน ซึ่งผู้ประกอบการและครัวเรือนมักชะลอการตัดสินใจเพื่อรอดูทิศทางทางการเมืองในอนาคต ความล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณจึงเปรียบเสมือนแรงฉุดที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพในช่วงครึ่งแรกของปี
อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่ง การยุบสภาก็เปิดพื้นที่ให้เกิด “ความหวังเชิงโครงสร้าง” การเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งอย่างชัดเจน แม้จะมาพร้อมความไม่แน่นอนในระยะสั้น แต่กลับช่วยคลี่คลายความกังวลด้านเสถียรภาพในระยะกลางและระยะยาว หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้อย่างราบรื่นและมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน
กิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงการเลือกตั้งเองยังมีบทบาทเป็นแรงพยุงเศรษฐกิจฐานรากในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การผลิตสื่อ การจัดกิจกรรมในภูมิภาคต่าง ๆ แม้จะเป็นแรงกระตุ้นชั่วคราว แต่ก็ช่วยหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจในช่วงที่กลไกหลักของรัฐยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้เต็มที่
2. หนี้สาธารณะและวินัยการคลัง: ความท้าทายเชิงโครงสร้างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกเหนือจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน คือ ฐานะทางการคลังที่ตึงตัวจากการขยายตัวของหนี้สาธารณะซึ่งเข้าใกล้เพดานร้อยละ 70 ของ GDP การขยายเพดานหนี้ในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีเหตุผลรองรับจากความจำเป็นในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ก็ได้สร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ
การที่เครื่องมือทางการคลังเริ่ม “ถึงขีดจำกัด” หมายความว่า รัฐบาลไม่สามารถใช้การกู้ยืมเป็นคำตอบหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกต่อไปโดยไม่สร้างความเสี่ยงในระยะยาว หากการเติบโตยังคงอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่รายได้ภาครัฐไม่เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน ภาระดอกเบี้ยและต้นทุนการระดมทุนจะกลายเป็นข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
แรงกดดันจากสถาบันจัดอันดับเครดิตจึงมิใช่เพียงเรื่องภาพลักษณ์ หากแต่มีผลโดยตรงต่อต้นทุนทางการเงินของทั้งภาครัฐและเอกชน เมื่ออันดับเครดิตประเทศถูกลดทอน ความเสี่ยงย่อมถูกถ่ายทอดไปยังภาคธุรกิจ ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และลดแรงจูงใจในการลงทุนระยะยาว
3. กับดักรายได้ปานกลาง: โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่
หัวใจของปัญหาเศรษฐกิจไทยมิได้อยู่เพียงที่วัฏจักรการเมืองหรือภาระหนี้ หากแต่อยู่ที่การติดอยู่ใน “กับดักรายได้ปานกลาง” มาอย่างยาวนาน อัตราการเติบโตเฉลี่ยที่เพียง 1–2% ต่อปีสะท้อนข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจที่ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ได้อย่างเพียงพอ
มาตรการกระตุ้นระยะสั้น โดยเฉพาะนโยบาย “แจกเงิน” อาจช่วยประคองกำลังซื้อในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาฐานรากได้อย่างแท้จริง รัฐบาลใหม่จึงต้องเปลี่ยนกรอบคิดจากการพยุงเศรษฐกิจเฉพาะหน้า ไปสู่การลงทุนเชิงโครงสร้างที่มุ่งสร้างศักยภาพในระยะยาว
การลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การยกระดับภาคบริการ การพัฒนาทุนมนุษย์ และการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เอื้อต่อ SMEs และนวัตกรรม คือเงื่อนไขสำคัญในการยกระดับอัตราการเติบโตให้สูงกว่า 3–4% อย่างยั่งยืน
4. อัตราแลกเปลี่ยน ตลาดทุน และบทบาทของธนาคารกลาง
ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังส่งผลต่อความผันผวนของตลาดเงินและค่าเงินบาท แม้การแข็งค่าของเงินบาทในบางช่วงจะเกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก แต่ก็สร้างแรงกดดันต่อภาคส่งออกและตลาดทุนภายในประเทศ
บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องยึดมั่นในพันธกิจหลัก คือ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงิน มากกว่าการใช้นโยบายการเงินเพื่อบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนโดยตรง ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนจำเป็นต้องปรับตัวเชิงรุก ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การกระจายตลาด และการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง เพื่อรับมือกับความผันผวนที่กลายเป็น “ภาวะปกติใหม่” ของเศรษฐกิจโลก
บทสรุป: วิกฤตที่บังคับให้ต้องเลือกเส้นทางใหม่
การยุบสภาในห้วงยามแห่งความเปราะบางทางเศรษฐกิจ จึงเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งคือความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนและข้อจำกัดเชิงนโยบาย แต่อีกด้านหนึ่งคือโอกาสในการกำหนดทิศทางใหม่ของรัฐชาติไทย หากรัฐบาลชุดใหม่สามารถใช้ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง วิกฤตซ้อนวิกฤตอาจกลายเป็นจุดตั้งต้นของการยกระดับประเทศสู่การเติบโตที่มีคุณภาพและยั่งยืน
แหล่งอ้างอิง
- Policy Research Institute of Thailand (PIER). ผลกระทบทางเศรษฐกิจของความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศไทย.
- KKP Research / Policy Watch (ThaiPBS). เมื่อฐานะการคลังไทยถึงขีดจำกัด.
- KResearch / The Standard. ผลกระทบหนี้สาธารณะต่อเครดิตเรตติ้ง.
- Thailand Development Research Institute (TDRI). แนวทางหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง.
- ธนาคารแห่งประเทศไทย. บทบาทและหน้าที่ของ ธปท.
